คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2685/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ได้พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มั่นคงยังเป็นที่สงสัย ต้องยกประโยชน์ให้เป็นผลดีแก่จำเลย ฉะนั้นในการพิจารณาคดีแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาของศาลทหารตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 54 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้กระผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ที่โจทก์นำพยานอื่นมาสืบในคดีนี้ว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดหรือกระทำละเมิดต่อโจทก์ ศาลจะรับฟังไม่ได้ เพราะขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าวแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นนายจ้างจึงไม่ต้องรับผิดไปด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ ๓ เป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างโดยประมาทมิได้หยุดที่ทางสำหรับคนข้ามถนน เป็นเหตุให้ชนเด็กชายราหุล เตมียบุตร บุตรของโจทก์ขณะเดินอยู่ในทางสำหรับคนข้ามถนนถึงแก่ความตาย โจทก์ได้รับความเสียหายรวมเป็นเงิน ๑๐๔,๖๕๖ บาท ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้ถูกอัยการศาลทหารกรุงเทพเป็นโจทก์ฟ้องต่อศาลทหารกรุงเทพฯ (ศาลอาญา) ฐานขับรถยนต์โดยประมาทชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย โจทก์คดีนี้ได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย ศาลทหารกรุงเทพ (อาญา) ได้พิพากษายกฟ้อง และจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธความรับผิดในเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า คดีอาญาของศาลทหารกรุงเทพได้วินิจฉัยว่า นอกจากไม่ได้ความชัดแจ้งในเรื่องที่ชนแล้ว จำเลยจะใช่คนขับรถชนเด็กผู้ตายหรือไม่ โจทก์มีแต่คำให้การชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยมิได้รับโดยตรงว่าเป็นคนทำผิดได้ปฏิเสธคำให้การชั้นศาล พยานโจทก์หลักฐานไม่มั่นคงยังเป็นที่สงสัย จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ฎีกาขอโจทก์ย่อมรับว่าคดีนี้เกี่ยวกับคดีอาญาของศาลทหารกรุงเทพ ซึ่งโจทก์คดีนี้ได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมและเบิกความในคดีอาญาดังกล่าว ฉะนั้น ในการพิจารณาเกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาของศาลทหารตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๕๔ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ โดยต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญาว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยที่ ๑ ได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ที่โจทก์นำพยานอื่นมาสืบในคดีว่า จำเลยที่ ๑ ได้กระผิดหรือละเมิดต่อโจทก์ ศาลจะรับฟังไม่ได้ เพราะขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าวแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ผู้เป็นเจ้าของรถซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นนายจ้างจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดด้วย ฎีกาของโจทก์ในเรื่องค่าเสียหายจึงตกไป ศาลล่างพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share