คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2680/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกนั้น เป็นหน้าที่ของผู้ขับขี่รถทุกเส้นทางที่มาบรรจบทางร่วมทางแยกจะต้องลดความเร็วลง ให้อยู่ในอัตราความเร็วต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงภยันตรายอันอาจเกิดจากการชนกันระหว่างรถที่กำลังแล่นผ่าน หาใช่ว่าผู้ที่ขับมาในทางเอกจะใช้ความเร็วในอัตราสูง โดยขับผ่านทางร่วมทางแยกไปโดยปราศจากความรั้งรอ ไม่ว่าจะมีรถในทางเดินรถทางโทแล่นมาถึงพร้อมกันหรือไม่เมื่อจำเลยที่1 ได้ขับรถแล่นเข้าไปในทางร่วมที่เกิดเหตุด้วยความเร็วสูง ทั้งที่ควรลดความเร็วลงเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดเหตุขึ้น ทำให้ชนกับรถคันที่จำเลยที่ 2 ขับมา เป็นเหตุให้มีคนตายและบาดเจ็บ ย่อมถือได้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความประมาทของจำเลยที่ 1 ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อจากกรุงเทพมหานครมุ่งไปจังหวัดอุดรธานี จำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์บรรทุกหกล้อบรรทุกผู้โดยสารจากกิ่งอำเภอเบือยน้อยมุ่งไปจังหวัดชัยภูมิ จำเลยทั้งสองขับรถมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นสี่แยกถนนมิตรภาพตัดกับถนนแจ้งสนิท ตำบลบ้านไผ่ อำเภอบ้านไผ่จังหวัดขอนแก่นจำเลยทั้งสองขับรถด้วยความประมาท โดยจำเลยที่ ๑ ขับรถด้วยความเร็วสูงไม่ชะลอรถให้ช้าลง เมื่อถึงสี่แยกเกิดเหตุ กลับขับรถผ่านสี่แยกด้วยความเร็วสูงจำเลยที่ ๒ ไม่หยุดรถตามป้ายสัญญาณจราจร ‘หยุด’ เป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยที่ ๑ พุ่งเข้าชนข้างซ้ายของจำเลยที่ ๒ เต็มแรงรถของจำเลยที่ ๒ ปัดไปทับรถจักรยานยนต์ซึ่งมีนายคำตา แพงไธสง ขับขี่และนางสงวน แพงไธสง นั่งซ้อนท้ายรอที่ที่สี่แยกเกิดเหตุผลการชนเป็นเหตุให้ นายสาย จันทร์รอดซึ่งนั่งมาในรถจำเลยที่ ๒ ตกจากรถและถูกล้อรถจำเลยที่ ๒ ทับศรีษะถึงแก่ความตายทันที มีผู้ได้รับอันตรายสาหัส ๔ คนและได้รับอันตรายแก่กาย ๕ คน เกิดเหตุแล้วจำเลยที่ ๒ หลบหนีไม่ได้ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและไม่นำความแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานที่อยู่ใกล้เคียงทันที ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๐๐, ๓๙๐, ๙๑ พระราชบัญญัติจารจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๑, ๔๓, ๗๘, ๑๕๒, ๑๕๗, ๑๖๐
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๐๐, ๓๙๐, พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๑, ๔๓, ๑๕๒, ๑๕๗ ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกคนละ ๓ ปีและจำเลยที่ ๒ มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๘, ๑๖๐ วรรคสอง ให้จำคุก ๓ เดือน รวมจำคุก จำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๓ ปี ๓ เดือน
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า คงมีปัญหาในชั้นนี้ตามที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาว่า เหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ ๑ด้วยหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเหตุได้เกิดในบริเวณสี่แยกอันเป็นทางตัดกันระหว่างถนนมิตรภาพและถนนแจ้งสนิทในท้องที่ตำบลบ้านไผ่ อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เมื่อเวลาประมาณ ๖ นาฬิกาของวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๒๘ จุดที่ชนกันระหว่างรถยนต์บรรทุกทั้งสองคันอยู่ในช่องเดินรถร่วมกันเมื่อจะผ่านสี่แยกที่เกิดเหตุ โดยรถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับเพิ่งล้ำแนวเขตในช่องเดินรถของตนเข้าสู่ทางร่วมซึ่งอยู่ในบริเวณสี่แยก ขณะที่ส่วนหัวรถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับแล่นชนส่วนข้างด้านซ้ายค่อมมาทางท้ายตรงระดับล้อหลังของรถคันที่จำเลยที่ ๒ ขับ ซึ่งได้แล่นผ่านช่องเดินรถร่วมกันของเส้นทางรถที่ตัดผ่านทางด้านขวามาแล้วและกำลังผ่านช่องเดินรถร่วมที่เกิดเหตุซึ่งเป็นเส้นทางรถคันของจำเลยที่ ๑จากแรงชนของหัวรถคันของจำเลยที่ ๑ เป็นผลให้รถคันของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นรถยนต์บรรทุกหกล้อถึงกับหมุนปัดไปทางขวาโดยหัวรถหันกลับจากเส้นทางรถที่ขับมาห่างจากจุดชนประมาณ ๑๒ เมตร อันเป็นผลให้นายสาย จันทร์รอดซึ่งนั่งมาในรถพลัดตกลงไปและถูกล้อหลังทับศรีษะถึงแก่ความตาย ตามหลักฐานแผนที่แสดงบริเวณที่เกิดเหตุพร้อมด้วยบันทึกการตรวจของเจ้าพนักงานและภาพถ่ายประกอบบันทึกการตรวจหมาย จ.๓ถึง จ.๕ เป็นข้อเท็จจริงที่ประจักษ์ชัดว่าเป็นผลจากการแล่นเข้าชนของรถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับมาด้วยความเร็วสูง และหักล้างข้อนำสืบต่อสู้ของจำเลยที่ ๑ ที่ว่าขับรถมาในอัตราความเร็วต่ำก่อนเกิดเหตุ จริงอยู่แม้ถนนเส้นทางรถคันของจำเลยที่ ๑ จะเป็นทางเอกและเส้นทางรถด้านที่ตัดผ่านเป็นทางโทโดยมีป้ายสัญญาณจราจรหยุดปักไว้ก็ตาม แต่การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกนั้น เป็นหน้าที่ของผู้ขับขี่รถทุกเส้นทางที่มาบรรจบทางร่วมทางแยกที่จะต้องลดความเร็วลงให้อยู่ในอัตราความเร็วต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงภยันตรายอันอาจเกิดจากการชนกันระหว่างรถที่กำลังแล่นผ่าน หาใช่ว่าผู้ที่ขับมาในทางเอกจะใช้ความเร็วในอัตราสูงโดยขับผ่านทางร่วมทางแยกไปโดยปราศจากความรอรั้ง ไม่ว่าจะมีรถในทางเดินรถทางโทแล่นมาถึงพร้อมกันหรือไม่ ซึ่งน่าจะมิใช่เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๑ดังที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัย สำหรับกรณีเหตุที่เกิดขึ้นนี้ ก็ปรากฏว่ารถคันที่จำเลยที่ ๒ ขับมา ได้แล่นล้ำจากช่องเดินรถเข้ามาในทางร่วมโดยผ่านช่องเดินรถที่ตัดผ่านทางด้านขวามาแล้วและกำลังเข้าสู่ช่องเดินรถร่วมทางด้านซ้ายซึ่งเป็นช่องเดินรถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับมาขณะนั้น ตามแผนที่เกิดเหตุซึ่งแสดงจุดที่ชนเมื่อวันระยะที่จำเลยที่ ๑ เพิ่งแล่นเข้าสู่ช่องเดินรถร่วมที่เกิดเหตุได้เพียงระยะ ๕ เมตร แต่รถคันที่ถูกชนได้แล่นล้ำเข้ามาในเขตทางร่วมเป็นระยะ ๙ เมตร และกำลังจะเลยผ่านช่องเดินรถร่วมที่เกิดเหตุขณะถูกชนที่กระบะข้างซ้ายค่อนมาทางท้ายรถเป็นข้อเท็จจริงที่แสดงว่ารถคันที่จำเลยที่ ๒ ขับมาได้แล่นเข้ามาในเขตทางร่วมทางแยกแล้วข้อนำสืบต่อสู้ของจำเลยที่ ๑ ที่อ้างว่ามองไม่เห็นรถทางด้านขวามือจึงไม่มีเหตุผลรับฟังแต่อย่างใด และจากการตรวจสอบร่องรอยบริเวณที่เกิดเหตุของพนักงานสอบสวนซึ่งไม่พบรอยห้ามล้อปรากฏอยู่ รวมทั้งจุดที่รถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับยังคงแล่นไปจอดจากจุดที่ชนอีกถึง ๓๔ เมตรา ตามที่ปรากกในแผนที่เกิดเหตุ เป็นข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ว่าภัยพิบัติบนท้องถนนในครั้งนี้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ ๑ ด้วย เนื่องจากจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถแล่นเข้าไปในทางร่วมที่เกิดเหตุด้วยความเร็วสูง ทั้งที่ควรลดความเร็วลงเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดเหตุขึ้น คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่เห็นว่าเหตุมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ ๑ ด้วยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีสำหรับจำเลย ที่ ๑ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share