แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีที่คู่ความอุทธรณ์และฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
โจทก์เป็นทรัสตีผู้หนึ่ง ย่อมมีอำนาจจัดการรวมทั้งการ ฟ้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินอันเป็นทรัสต์ได้ตามหนังสือก่อตั้งทรัสต์ซึ่งทรัสต์ดังกล่าวได้ก่อตั้งและ จดทะเบียนต่อสถานทูตอังกฤษเมื่อ 80 ปีมาแล้ว
จำเลยเช่าตึกแถวเพียงเดือนละ 100 บาท แต่จ่ายเงิน ล่วงหน้าให้ทรัสตีไปอีก 55,000 บาท จึงเป็นการจ่ายเงินกินเปล่าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่า โดยไม่ได้ใช้ ซ่อมแซมตึกที่เช่าแต่อย่างใดสัญญาเช่านี้จึงหามีลักษณะ เป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาไม่
จำเลยทำสัญญาเช่าขึ้นพร้อมกัน 2 ฉบับ ลงวันที่ในสัญญา และระยะเวลาที่เช่าติดต่อกันรวมได้กว่า 3 ปี เท่ากับ ทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ติดต่อกันเกิน 3 ปี ถ้าไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมฟ้องร้องบังคับกันได้เพียง 3 ปีและการฟ้องร้องให้ บังคับคดีดังกล่าวหมายความรวมถึงการที่ยกขึ้นกล่าวอ้างต่อสู้ ให้บังคับคดีไปตามข้อกล่าวอ้างนั้นด้วย (อ้างคำพิพากษาฎีกา ที่1985/2527)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๔๔๓ นาย อี.เอช.โชอังกูเลีย ได้ทำหนังสือโอนที่ดินให้แก่ทรัสตี เพื่อยึดถือไว้เป็นทรัสต์ นำผลประโยชน์รายได้มาใช้จ่ายบำรุงรักษาสุเหร่า โดยให้ทรัพย์อันเป็นทรัสต์อยู่ในอำนาจจัดการดูแลของทรัสตีโจทก์เป็นทรัสตี ได้จดทะเบียนเป็นทรัสตีเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวบนที่ดินดังกล่าว จำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวกับนางสาวสุวดี ๒ ฉบับ ฉบับแรกลงวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๒๑ มีกำหนด ๓ ปี นับแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๑ ถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ ฉบับที่สอง ลงวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๔ มีกำหนด ๒ ปี ๑๐ เดือน นับแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๖ อัตราค่าเช่าเดือนละ ๑๐๐ บาท เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าฉบับแรกแล้ว โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไปจึงบอกเลิกการเช่าแก่จำเลย แต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้จำเลยและบริวาร กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะจำเลยเช่าตึกแถวพิพาทจากนางสาวสุวดีทรัสตีของทรัสตีผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ สัญญาเช่ายังไม่ครบกำหนดและเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้คู่ความอุทธรณ์และฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งมีอยู่ว่า ตึกแถวพิพาทเป็นทรัสต์ซึ่งตั้งขึ้นโดยนายอี.เอช.ชองกูเลีย เมื่อประมาณ ๘๐ ปีมาแล้ว จดทะเบียนต่อสถานทูตอังกฤษ มีทรัสตี ๔ คนเป็นผู้ดูแล และโจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นทรัสตีตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๙ จนถึงปัจจุบันเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๒๑ จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทกับนางสาวสุวดีในขณะที่ยังเป็นทรัสตีอยู่รวม ๒ ฉบับพร้อมกัน ฉบับแรกกำหนดเวลาเช่า ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๑ ถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ ฉบับที่ ๒กำหนดเวลาเช่า ๒ ปี ๑๐ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๖ อัตราค่าเช่าเดือนละ ๑๐๐ บาท พร้อมกับจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าแก่นางสาวสุวดีเป็นเงิน ๕๕,๐๐๐ บาท หากไม่มีค่าเช่าล่วงหน้าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ก่อนสัญญาเช่าฉบับแรกจะครบกำหนดโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าไปยังจำเลย จำเลยได้รับคำบอกกล่าวก็เพิกเฉย
ในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์นั้น เห็นว่าโจทก์เป็นทรัสตีผู้หนึ่ง ย่อมมีอำนาจจัดการซึ่งรวมทั้งการฟ้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินอันเป็นทรัสต์ได้ตามหนังสือก่อตั้งทรัสต์เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติแล้วว่าตึกแถวที่จำเลยเช่าเป็นทรัสต์รายนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเกี่ยวกับสัญญาเช่าเป็นคดีนี้ได้
ที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาเช่าตามฟ้องเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดานั้น เห็นว่าจำเลยเคยเช่าตึกแถวพิพาทมาก่อนและจะเช่าถูก ๆ เพียงเดือนละ ๑๐๐ บาท แต่จ่ายเงินล่วงหน้าให้ทรัสตีไปอีก ๕๕,๐๐๐ บาท จึงเป็นการจ่ายเงินกินเปล่าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าตึกนั้นนั่นเอง โดยไม่ได้ใช้ซ่อมแซมตึกที่เช่าแต่อย่างใด สัญญาเช่านี้จึงเป็นสัญญาเช่าธรรมดา หามีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาไม่
ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาเช่าฉบับลงวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๔ ใช้บังคับได้นั้นเห็นว่าจำเลยทำสัญญาเช่าขึ้นพร้อมกัน ๒ ฉบับ ลงวันที่ในสัญญาและระยะเวลาที่เช่าติดต่อกันรวมได้กว่า ๓ ปี เท่ากับทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ติดต่อกันเกิน ๓ ปี ต้องการหลีกเลี่ยงกฎหมาย ย่อมฟ้องร้องบังคับกันได้เพียง ๓ ปี ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘ ซึ่งการฟ้องร้องให้บังคับคดีดังกล่าวหมายความรวมถึงการที่ยกขึ้นกล่าวอ้างต่อสู้ให้บังคับคดีไปตามข้อกล่าวอ้างนั้นด้วย เพราะการบังคับคดีย่อมทำได้ด้วยกันทั้งสองฝ่ายตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๘๕/๒๕๒๗ ระหว่างนายสุวัฒน์ ชองกูเลีย โจทก์ นายศักดา กุลศิโรรัตน์ จำเลย สัญญาเช่าฉบับลงวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๔ ซึ่งเป็นฉบับที่ ๒ จึงใช้บังคับกันไม่ได้ เมื่อจำเลยเช่าตึกแถวพิพาทมาครบกำหนดตามสัญญาฉบับแรกแล้ว โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าอีกต่อไปโดยบอกเลิกการเช่าและจำเลยรับทราบแล้วตามข้อเท็จจริงที่ฟังยุติข้างต้น จำเลยก็ไม่มีสิทธิจะอยู่ในตึกแถวพิพาทอีกต่อไป
พิพากษายืน