คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ขออนุญาตยื่นคำให้การและขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม การที่จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยและเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมแล้วสืบพยานต่อไปนั้น เท่ากับเป็นการขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่บังคับให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์และให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ต่อไปนั่นเอง จำเลยจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ด้วย จำเลยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันนายฉัตรชัย ศีลประเสริฐ ซึ่งทำสัญญายอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แล้วผิดนัดชำระหนี้ เจ้าพนักงานศาลนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลยโดยวิธีปิดหมายที่บ้านเลขที่ 1213/197 ซอยลาดพร้าว 94 แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร ซึ่งมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลย โดยจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 1213/179 ศาลชั้นต้นจึงสั่งให้โจทก์จัดทำสำเนาคำฟ้องอีก 1 ชุด เพื่อส่งให้จำเลยใหม่แต่โจทก์ยังไม่ได้ดำเนินการ ต่อมาเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2544 อันเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นนัดไว้ล่วงหน้า จำเลยมาศาล แถลงว่าเหตุที่ทราบนัดเนื่องจากเจ้าของบ้านเลขที่ 1213/197 นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องมามอบให้จำเลยก่อนวันนัด 1 วัน จำเลยไม่ประสงค์ที่จะยื่นคำให้การต่อสู้คดี โดยรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริง แต่ขอเลื่อนคดีออกไปก่อนเพื่อจะเจรจาผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตตามที่จำเลยแถลง นัดต่อมาจำเลยขอเลื่อนคดีอีก ครั้นวันที่ 20 พฤษภาคม 2545 อันเป็นวันนัดที่เลื่อนมา จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การเพื่อต่อสู้คดี และยื่นคำร้องขอให้เรียกนายฉัตรชัยเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยแถลงต่อศาลเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2544 ไว้แล้วว่าไม่ประสงค์จะยื่นคำให้การต่อสู้คดี และรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริง จำเลยไม่มีสิทธิขออนุญาตยื่นคำให้การในภายหลังได้อีก เมื่อจำเลยรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง จึงไม่จำต้องสืบพยานโจทก์อีกต่อไป และไม่จำต้องพิจารณาคำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม จึงมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสองฉบับ แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 534,863 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 424,856 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องทั้งสองฉบับดังกล่าวของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ขออนุญาตยื่นคำให้การและขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม การที่จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น (ที่ถูกต้องทำเป็นอุทธรณ์) ขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยและให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมแล้วสืบพยานต่อไปนั้น อุทธรณ์ของจำเลยเท่ากับเป็นการขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่บังคับให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์และให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ต่อไปนั่นเอง จำเลยจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ด้วย แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยมานั้นจึงไม่ชอบ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 ถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งและยกฎีกาของจำเลยโดยให้บังคับไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง 40 บาท และค่าขึ้นศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่จำเลย ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ

Share