คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2480

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่สัญญาตั้งใจจะกู้เงินและให้ที่ดินเป็นประกัน แต่เมื่อไปที่เกษตร์ได้ตกลงทำเป็นคู่สัญญาขายฝากดังนี้ ไม่เรียกว่าเป็นนิติกรรมอำพราง ประมวลวิธีพิจารณาแพ่ง ม.288

ย่อยาว

โจทก์ชนะความจำเลยเรื่องหนี้สินจึงนำยึดเรือนและครัวไฟ เพื่อขายทอดตลาดผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่า เรือนที่โจทก์ยึดที่จำเลยได้ทำสัญญาขายฝากให้ผู้ร้องแล้ว
ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยได้ทำสัญญาต่อหอทะเบียนขายฝากแก่ผู้ร้องเป็นเงิน ๓๕๐ บาท ในชั้นแรกปรากฎว่านายยาไปพูดกับผู้ร้องว่าจำเลยจะหาเงินโดยเอาเรือนเป็นประกัน ผู้ร้องว่าต้องไปทำที่เกษตร์ ชั้นแรกผู้ร้องจะให้ทำเป็นขายขาด แต่จำเลยอธิบายว่า การทำสัญญาขายขาดหรือขายฝากก็เหมือนกัน ครั้นทำสัญญาขายฝากแล้ว จำเลยก็ทำสัญญาเช่าต่อผู้ร้องไป
ศาลฎีกาตัดสินว่า เรื่องนี้โจทก์สืบไม่ได้ว่าผู้ร้องกับจำเลยได้สมยอมกันเพื่อฉ้อโกงโจทก์ และรูปคดีก็ไม่เป็นนิติกรรมอำพรางดังศาลชั้นต้นฟังมา เป็นแต่เพียงว่า เดิมคู่กรณีหวังผลอย่างหนึ่ง ภายหลังมาตกลงกันใหม่อีกอย่างหนึ่งเท่านั้น จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ถอนการยึด

Share