คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2664/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิม อ.ลูกจ้างของบริษัทร. เป็นคนแข็งแรงไม่เคยป่วยเจ็บก่อนถึงแก่ความตาย 5-6 เดือน ตอนเช้า อ. ไปทำงานตามปกติตอนสาย อ.ได้กลับไปที่บ้านและบอกให้โจทก์ซึ่งเป็นภรรยาอ.พาไปส่งโรงพยาบาลเนื่องจากปวดศีรษะ แล้วเป็นลมล้มฟุบลงที่โต๊ะอาหารโจทก์พาไปส่งโรงพยาบาล แพทย์ตรวจแล้วแจ้งโจทก์ว่า อ.ถึงแก่ความตายเนื่องจากหัวใจหยุดทำงานโดยเฉียบพลันก่อนที่จะไปถึงโรงพยาบาล การตายของ อ. ยังถือไม่ได้ว่าถึงแก่ความตายด้วยโรคหรือการป่วยเจ็บเนื่องจากการทำงาน โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโอภาสเทวภักดิ์ มีบุตรธิดาด้วยกัน 6 คน นายโอภาสเป็นลูกจ้างของบริษัทเรือขุดแร่สหะพิบูลย์ จำกัดบริษัทเรือขุดแร่สหะพิบูลย์ จำกัด อ้างว่าดำเนินกิจการขาดทุนจึงได้เลิกจ้างคนงานและพนักงานประจำ จนกระทั่งครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2535 เหลือพนักงานประจำเพียง 3 คน คือนายสุทิน เชี่ยววัฒนา ตำแหน่งผู้จัดการ นายธิราศ จันทศรีและนายโอภาส ตามปกตินายโอภาสจะทำงานเกี่ยวกับบัญชีเท่านั้นแต่เมื่อบริษัทมีพนักงานประจำอยู่เพียง 3 คน บริษัทจึงได้มอบหมายงานให้นายโอภาสทำมากขึ้น นอกเหนือจากงานปกติ เช่น งานเฝ้าเหมืองดูแลคนงานขณะทำงาน ขุดแร่ในเหมือง ควบคุมการเบิกจ่ายเงินเดือนควบคุมดูแลพัสดุและการเบิกจ่ายอุปกรณ์ในเหมืองติดต่อกับหน่วยงานราชการและบุคคลภายนอก ควบคุมดูแลการซ่อมเครื่องจักรกลคุมแร่ไปขายยังจังหวัดภูเก็ต ดูแลทางด้านการเสียภาษี จนกระทั่งในบางครั้งนายโอภาสต้องทำงานติดต่อกัน ไม่มีเวลาหยุดพักต้องทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนจนล่วงเลยเวลาทำงานปกติบ่อยครั้ง และมีอาการเครียดทางประสาทเสมอมา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2535 นายโอภาสไปทำงานตามปกติตั้งแต่เวลา 6 นาฬิกา และได้ออกไปตรวจดูคนงานขุดแร่ในเหมืองขณะที่มีอากาศร้อนจัด จนกระทั่งเกิดมีอาการปวดศีรษะจึงขอลาหยุดงานเพื่อขอพักผ่อนก่อนเวลา 11 นาฬิกา โดยกลับมานอนพักผ่อนที่บ้าน แต่เมื่อมาถึงบ้านได้ 10 นาที ก็เกิดมีอาการแน่นหน้าอก หน้ามืดและเป็นลมแน่นิ่งหมดสติไป โจทก์จึงได้พานายโอภาสไปส่งที่โรงพยาบาล เมื่อไปถึงแพทย์ตรวจแล้วแจ้งกับโจทก์ว่า นายโอภาสถึงแก่ความตายระหว่างทาง โดยลงความเห็นว่าสาเหตุการตายเนื่องจากหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลัน ขณะที่ถึงแก่ความตายนั้นนายโอภาสมีอายุได้ 51 ปี หลังจากที่นายโอภาสถึงแก่ความตายแล้ว โจทก์ได้ไปติดต่อที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อขอรับเงินทดแทนตามที่โจทก์มีสิทธิได้รับ แต่ทางสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครศรีธรรมราชแจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทน เพราะสภาพการงานและลักษณะงานไม่เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพและร่างกายการเจ็บป่วยของนายโอภาสไม่ได้เกิดจากการทำงานให้แก่นายจ้างโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้อุทธรณ์คำวินิจฉัย คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนได้พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า นายโอภาสไม่ได้เสียชีวิตในขณะปฎิบัติหน้าที่ งานในหน้าที่ความรับผิดชอบของนายโอภาสไม่ใช่งานเครียด และมีมติว่า นายโอภาสมิได้เจ็บป่วยจนถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน ขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครศรีธรรมราชและคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2
จำเลยทั้งสองให้การว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนชอบด้วยเหตุผลและถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลแรงงานกลาง โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลแรงงานกลางอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งสำนักงานประกันสังคมที่ นศ.35/189 และคำวินิจฉัยที่ มท.1311/62411 เรื่องอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน และให้จำเลยที่ 1จ่ายเงินทดแทนให้แก่โจทก์และทายาทตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า นายโอภาส เทวภักดิ์ เป็นลูกจ้างบริษัทเรือขุดแร่สหะพิบูลย์ จำกัด ตั้งแต่ปี 2515 ทำหน้าที่ผู้ช่วยเสมียนใหญ่ ทำงานเกี่ยวกับบัญชี ต่อมาปี 2533 บริษัทนายจ้างประสบการขาดทุนได้เลิกจ้างพนักงาน เหลือพนักงานประจำสำนักงาน3 คน บริษัทนายจ้างมอบหมายให้นายโอภาสเฝ้าเหมืองดูแลคนงานเบิกจ่ายเงินเดือนดูแลพัสดุ ติดต่อกับหน่วยงานอื่นและคุมแร่ไปขายที่จังหวัดภูเก็ต เดิมนายโอภาสเป็นคนแข็งแรงไม่เคยป่วยเจ็บก่อนถึงแก่ความตาย 5-6 เดือน นายโอภาสบ่นกับเพื่อนร่วมงานว่ามีอาการปวดหัวและไม่สบายเนื่องจากต้องทำงานหนัก วันที่ 6 กรกฎาคม2535 ตอนเช้านายโอภาสไปทำงานตามปกติ ตอนสายนายโอภาสได้กลับไปที่บ้านและบอกให้โจทก์พาไปส่งโรงพยาบาลเนื่องจากปวดศีรษะแล้วนายโอภาสเป็นลมล้มฟุบลงที่โต๊ะอาหาร โจทก์พานายโอภาสไปส่งโรงพยาบาลร่อนพิบูลย์ แพทย์ตรวจแล้วแจ้งว่าโจทก์ว่านายโอภาสถึงแก่ความตายเนื่องจากหัวใจหยุดทำงานโดยเฉียบพลันก่อนที่จะไปถึงโรงพยาบาล คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1ว่านายโอภาสถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างหรือไม่ ซึ่งจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าการที่นายโอภาสเป็นลมหมดสติและถึงแก่ความตายทันทีเนื่องจากการทำงานของหัวใจล้มเหลวเป็นผลเนื่องมาจากสภาพร่างกายของนายโอภาสเสื่อมทรามไปตามธรรมชาติมิใช่ตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง พิเคราะห์แล้วเห็นว่าโรคหรือการเจ็บป่วยอย่างอื่นที่ทำให้ลูกจ้างถึงแก่ความตายอันเป็นผลให้นายจ้างต้องจ่ายค่าทดแทนตามความในข้อ 22 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องโรคซึ่งเกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องกับการทำงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 นั้น จะต้องเป็นโรคหรือการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากการทำงานของลูกจ้างโดยตรงหรืออีกนัยหนึ่งก็คืองานที่ลูกจ้างทำนั้นเป็นมูลให้เกิดโรคหรือการเจ็บป่วยขึ้น และเป็นเหตุให้ลูกจ้างถึงแก่ความตายเป็นโรคหรือการเจ็บป่วยดังกล่าว ตามปกติแล้วการทำงานของนายโอภาสทำงานเกี่ยวกับด้านบัญชี แม้ภายหลังนายจ้างจะมอบหมายงานให้ทำมากขึ้นโดยให้นายโอภาสทำงานเฝ้าเหมือง ดูแลคนงานเบิกจ่ายเงินเดือนดูแลพัสดุ ติดต่อกับหน่วยงานอื่น และคุมแร่ไปขายที่จังหวัดภูเก็ตด้วย งานที่นายโอภาสทำก็มิใช่งานที่ต้องใช้กำลังมากไม่อาจทำให้เกิดโรคหรือการเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตายได้ ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมานั้นนายโอภาสมิได้ทำงานตรากตรำ วันเกิดเหตุนายโอภาสไปทำงานตอนเช้าตามปกติ ตอนสายได้กลับมาบ้านและให้โจทก์ซึ่งเป็นภริยาพาไปส่งโรงพยาบาลเนื่องจากปวดศีรษะ แต่นายโอภาสเป็นลมล้มฟุบลงที่โต๊ะอาหาร และถึงแก่ความตายเพราะหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลัน การตายของนายโอภาสยังถือไม่ได้ว่าถึงแก่ความตายด้วยโรคหรือการป่วยเจ็บเนื่องจากการทำงาน โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทน
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share