คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2663/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายเป็นเด็กหญิงอายุ 12 ปี ย. มารดาพาผู้เสียหายไปเที่ยวงานที่วัดดอนกลางคืน ระหว่างเที่ยวงานผู้เสียหายขออนุญาต ย.ไปปัสสาวะที่ห้องน้ำบริเวณหลังวัดโดยชวนน.ไปเป็นเพื่อน ขณะที่จะเดินกลับไปหาย. ได้พบจำเลย จำเลยบอกผู้เสียหายให้เดินไปทางทิศใต้ผู้เสียหายเดินไปกับจำเลย จากนั้นจำเลยให้ ผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปตามถนน แล้วจำเลยได้กระทำอนาจารผู้เสียหายที่ป่าละเมาะ ใกล้สวนแตงโม การกระทำของจำเลยเป็นการบ่งชี้ เจตนาให้เห็นตั้งแต่แรกว่าจำเลยมาเรียกผู้เสียหาย ไปเพื่อการอนาจาร ถึงแม้ว่าในขณะที่จำเลยพาผู้เสียหายไป นั้น ย. ไม่ได้อยู่ในบริเวณนั้น ก็ต้องถือว่าผู้เสียหาย อยู่ ในความปกครองดูแลของ ย. ซึ่งอยู่ที่บริเวณงานวัดการที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารนั้นเป็น การแยกเด็กไปจากอำนาจปกครองของ ย.โดยไม่มีเหตุอันสมควร จึงเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 279, 317, 91
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม และมาตรา 279 วรรคหนึ่งการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาเพื่ออนาจารจำคุก 8 ปี และฐานกระทำอนาจาร จำคุก 4 ปี รวมจำคุก12 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามศาลล่างทั้งสองฟังมาว่า ผู้เสียหายอายุ 12 ปี เป็นบุตรของนายเสริม สุขเพ็ชรและนางย้วน น้อยนารถ ตามสำเนาทะเบียนบ้าน เอกสารหมาย จ.1 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2534 นางย้วนพาผู้เสียหายไปเที่ยว งานที่วัดโคกงู และจำเลยได้กระทำอนาจารผู้เสียหายที่บริเวณป่าละเมาะใกล้สวนแตงโม ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.4 คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารหรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์มีผู้เสียหายและเด็กหญิงนิตยา วงษ์น้อย เป็นพยาน เบิกความสอดคล้องต้องกันว่าคืนเกิดเหตุระหว่างเที่ยวงาน ผู้เสียหายขออนุญาตนางย้วนมารดาไปปัสสาวะที่ห้องน้ำบริเวณหลังวัดโดยชวนเด็กหญิงนิตยาไปเป็นเพื่อนขณะที่พยานทั้งสองจะเดินกลับไปหานางย้วนได้พบจำเลย จำเลยบอกผู้เสียหายให้เดินไปทางทิศใต้ ผู้เสียหายเดินไปกับจำเลย จากนั้นจำเลยให้ผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปตามถนน แล้วจำเลยได้กระทำอนาจารผู้เสียหายที่ป่าละเมาะใกล้สวนแตงโม ซึ่งจำเลยก็นำสืบรับข้อเท็จจริงบางส่วนว่า คืนเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปวัดโคกงู เพื่อรับนายจิตรมาดูรายการถ่ายทอดแข่งขันมวยทางโทรทัศน์ ที่บ้านจำเลย ขณะจำเลยกับนายจิตรเดินทางมาจากวัดโคกงู เห็นผู้เสียหายอยู่ใกล้บริเวณนั้น จำเลยจอดรถจักรยานยนต์และเดินไปบอกผู้เสียหายให้เดินเข้าไปในบริเวณงานวัดเสีย คำเบิกความของจำเลยดังกล่าวเจือสมกับคำพยานโจทก์ทั้งสอง และปรากฏต่อมาว่าคืนเกิดเหตุจำเลยได้กระทำอนาจารผู้เสียหายในที่เกิดเหตุ ดังนี้พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า คืนเกิดเหตุจำเลยได้เรียกผู้เสียหายให้ไปกับจำเลย ศาลฎีกา เป็นว่า การที่จำเลยมาเรียกผู้เสียหายให้เดินไปทางทิศใต้แล้วพาผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยไปยังที่เกิดเหตุแล้วกระทำอนาจารผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นการบ่งชี้เจตนาให้เห็นตั้งแต่แรกว่าจำเลยมาเรียกผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร ถึงแม้ว่าในขณะที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนั้น มารดาของผู้เสียหายไม่ได้อยู่ในบริเวณนั้น ก็ต้องถือว่าผู้เสียหายอยู่ในความปกครองดูแลของมารดาซึ่งอยู่ที่บริเวณงานวัด การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารนั้นเป็นการแยกเด็กไปจากอำนาจการปกครองของมารดาโดยไม่มีเหตุอันสมควร จึงเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหานี้ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share