คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 266/2483

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เพียงแต่ปลูกเรือนในชายคายื่นล้ำเข้าไปในที่ของผู้อื่น จะอ้างว่ามีกรรมสิทธิตาม ม. 1335 ไม่ได้ศาลชั้นต้น พิพากษาว่าที่พิพากษานอกชายคา เรือนจำเลยเป็นของโจทก์ ที่ในชายคาเรือนเป็นของจำเลยศาลอุทธรณ์แก้ว่าที่ พิพาททั้งหมดเป็นของโจทก์ เป็นแก้น้อย

ย่อยาว

ได้ความว่า จำเลยปลูกเรือนทำชายคารุกล้ำเข้าไปในที่ของโจทก์ซึ่งมีราคา ๕๐ บาท โจทก์เพิ่งทราบเมื่อเจ้าพนักงานวัดดิ่งทำแผนที่ จึงฟ้องขอให้ห้ามจำเลยอย่าให้เข้าเกี่ยวข้องในที่รายวิวาท
ศาลชั้นต้นตัดสินว่า ที่รายวิวาทนอกขายคาของจำเลยเป็นของโจทก์ ส่วนที่ซึ่ง จำเลยได้ปลูกชายคาล้ำเข้าไปเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย
โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยเป็นแต่ผู้ปลูกเรือนให้ชายคายื่นล้ำเข้าไปในที่ของโจทก์ หาใช่เป็นผู้ครอบครองไม่ จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินถ้าหากว่ากระทำโดยสุจจริตก็เพียงแต่จะได้ใช้สิทธิตามมาตรา ๑๓๑๒ จึงพิพากษาว่าที่พิพาททั้งหมาดเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ห้ามไม่ให้จำเลยขัดขวางในการที่โจทก์ จะทำอะไรอันไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของจำเลย
จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้ปลูกเรือนชายคายื่นล้ำเข้าไปในที่ดินนั้นหลายปี ไม่มีใครทักท้วงให้จำเลยรื้อถอนไป ต้องถือว่าที่ดินที่ชายคาเรือนครอบถึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตาม ประมวลแพ่งฯ ม. ๑๓๓๕
ศาลฎีก วินิจฉัยว่า ฎีกาข้อแรกของจำเลยที่กล่าวว่ามาตรา ๑๓๑๒ จะปรับกับคดีนี้ไม่ได้ คดีนี้ต้องปรับด้วยมาตรา ๑๓๓๕ นั้นศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา ๑๓๓๕ มีความหมายว่า ชั้นแรกต้องมีกรรมสิทธิ์พื้นดินเสียก่อนแดนแห่งกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นจึงจะกินทั้งเหนือพื้นดินและใต้พื้นดินด้วย ในคดีนี้กรรมสิทธิ์พิ้นดินเป็นของโจทก์ ย่อมนำมาตรา ๑๓๓๕ มา ใช้แก่คดีของฝ่ายจำเลยไม่ได้ ส่วนฎีกาข้อที่ว่า จำเลยครอบครองนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share