คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2653/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การบรรยายฟ้องคดีแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง มิได้บังคับโจทก์ต้องบรรยายข้อเท็จจริงอันเป็นรายละเอียดแห่งคำฟ้องโดยแจ้งชัดด้วยตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์มุ่งประสงค์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระหนี้ค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับอันมีมูลฐานมาจากการที่โจทก์กล่าวอ้างว่าผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุที่ทำละเมิดเป็นพนักงานและหรือตัวแทนและหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 แสดงตัวรับสภาพความรับผิดต่อพนักงานของโจทก์ การที่ผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุจะชื่ออะไร รถยนต์คันเกิดเหตุจะหมายเลขทะเบียนอะไร ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ไม่ใช่ข้อสาระสำคัญและเมื่อจำเลยทั้งสามยื่นคำให้การต่อสู้คดีโดยเข้าใจข้อหาได้ดี คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ครบถ้วนแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2540 เวลาประมาณ 18 นาฬิกาพนักงานหรือตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อไม่ทราบหมายเลขทะเบียน บรรทุกรถแบ็กโฮ ไปตามคำสั่งหรือไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 มุ่งหน้าไปสี่แยกหน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต (ถนนนริศรตัดกับถนนปะเหลียน) ตำบลตลาดใหญ่อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ด้วยความประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังเนื่องจากรถยนต์บรรทุกดังกล่าวเป็นรถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่ มีความสูงกว่ารถยนต์ทั่วไป แต่พนักงานหรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 หาได้ใช้ความระมัดระวังไม่โดยเมื่อขับรถถึงบริเวณสี่แยกที่มีสายไฟหรือสายโทรศัพท์พาดผ่านกลับขับรถด้วยความเร็วทำให้รถแบ็กโฮซึ่งบรรทุกอยู่บนรถยนต์บรรทุกสิบล้อเฉี่ยวสายเคเบิลโทรศัพท์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย หลังจากเกิดเหตุจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 แสดงตัวยอมรับผิดต่อพนักงานของโจทก์และยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด จากเหตุดังกล่าวโจทก์เสียค่าใช้จ่ายซ่อมแซมสายเคเบิล 129,533.99 บาท และสูญเสียรายได้จากการให้บริการแก่ลูกค้า 3,973.83 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 143,246.59บาท (ที่ถูก 143,246.58 บาท) พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่ารถยนต์บรรทุกสิบล้อของจำเลยที่ 1 ที่บรรทุกรถแบ็กโฮ หมายเลขทะเบียนอะไร พนักงานหรือตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ชื่ออะไร และจำเลยที่ 2 ตกลงรับผิดอย่างไร ทำให้จำเลยทั้งสามไม่เข้าใจคำฟ้องโจทก์ในอันที่จะต่อสู้คดีได้เต็มที่ ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม เมื่อวันที่ 13 กันยายน2540 ไม่มีพนักงานหรือตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถไปในทางการที่จ้างหรือทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ไปเฉี่ยวสายเคเบิลโทรศัพท์ของโจทก์ จำเลยที่ 2 ไม่เคยตกลงยอมรับผิดต่อพนักงานของโจทก์ และจำเลยที่ 3 ไม่เคยทราบเรื่องที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในฐานะผู้จัดการจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์และไม่เคยทราบเกี่ยวกับการทำละเมิดต่อโจทก์ ความเสียหายของโจทก์มีไม่เกิน 50,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 133,507.83 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ในปัญหาข้อนี้เห็นว่า การบรรยายฟ้องในคดีแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง กำหนดแต่เพียงว่าคำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นเท่านั้น มิได้บังคับให้โจทก์ต้องบรรยายข้อเท็จจริงอันเป็นรายละเอียดแห่งคำฟ้องโดยแจ้งชัดด้วย ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่เห็นได้แจ้งชัดว่าโจทก์มุ่งประสงค์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระหนี้ค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับอันมีมูลฐานมาจากการที่โจทก์กล่าวอ้างว่า ผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุที่ทำละเมิดเป็นพนักงานและหรือตัวแทนและหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 แสดงตัวรับสภาพความรับผิดต่อพนักงานของโจทก์นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุจะชื่ออะไรตลอดจนรถยนต์คันเกิดเหตุจะหมายเลขทะเบียนอะไร ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ซึ่งไม่ใช่ข้อสาระสำคัญและโดยที่จำเลยทั้งสามยื่นคำให้การต่อสู้คดีในลักษณะเข้าใจข้อหาได้ดีว่าไม่มีพนักงานคนใดของจำเลยที่ 1 ไปทำละเมิดต่อโจทก์ อีกทั้งจำเลยที่ 2 ก็มิได้แสดงตัวรับผิดต่อพนักงานของโจทก์แต่อย่างใด ดังนี้คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ครบถ้วนแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 ยังมิได้วินิจฉัยประเด็นอื่นทั้งผลการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 8อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิในการฎีกาของคู่ความ ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) ประกอบด้วยมาตรา 247”

ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาคดีใหม่ตามรูปคดี

Share