คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2653/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลรัษฎากร มาตรา 30 กำหนดให้อุทธรณ์ การประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินต่อ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เพื่อให้พิจารณายกเลิก เพิกถอนแก้การประเมินได้ แต่จำเลยไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์ การประเมิน ย่อมถือได้ว่าการประเมินดังกล่าวชอบแล้วและเป็นอันยุติ จำเลยจะยกข้อต่อสู้ว่าการ ประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินไม่ชอบ เพราะเงินรายรับบางส่วนไม่ใช่ของจำเลยหาได้ไม่ จำเลยเป็นหนี้ภาษีอากรค้างจำนวน 1,094,507.21 บาทหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนและไม่มีกฎหมายบัญญัติว่ามูลหนี้ที่นำมาฟ้องคดีล้มละลายต้องดำเนินการฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลให้มีคำพิพากษาเสียก่อนจึงจะเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน จำเลยรับหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบหนังสือแจ้งภาษีการค้าและหนังสือแจ้งให้นำส่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายเมื่อวันที่15 สิงหาคม 2531 ให้ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมพร้อมเบี้ยปรับกับเงินเพิ่ม ภาษีการค้าเพิ่มเติมพร้อมเบี้ยปรับกับภาษีบำรุงจังหวัด และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายพร้อมเงินเพิ่มภายใน 30 วัน นับแต่วันรับหนังสือ การที่เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือถึงจำเลยให้ชำระภาษีอากรดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการสั่งบังคับตามอำนาจกฎหมาย เพื่อให้ลูกหนี้ชำระหนี้ค่าภาษีอากรตามที่เรียกร้อง อันมีผลให้ลูกหนี้อาจถูกยึดทรัพย์สินขายทอดตลาดโดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาลการสั่งบังคับดังกล่าวเป็นการที่เจ้าหนี้ได้กระทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีเพื่อให้ชำระหนี้ตามที่เรียกร้องดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(5)อายุความจึงสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่พ้นระยะเวลา 30 วัน ที่กำหนดให้จำเลยนำเงินภาษีอากรไปชำระดังนั้น อายุความเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ภาษีอากรดังกล่าวจึงเริ่มนับใหม่นับแต่วันที่ 15 กันยายน 2531 โจทก์ฟ้องคดีล้มละลายเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2537 จึงยังไม่ล่วงพ้นกำหนด10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/31คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ประกอบการค้าทำกิจการประเภท 4 ชนิด 1(ฉ) รับจ้างทำของถมดิน ตักดินด้วยเครื่องจักรจึงต้องเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงจังหวัด เนื่องจากเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ตรวจพบว่า ปีภาษี 2527และปีภาษี 2528 จำเลยชำระภาษีบุคคลธรรมดาและยื่นรายรับเพื่อชำระภาษีการค้าไม่ถูกต้องครบถ้วน นอกจากนี้ยังปรากฏว่าในปี 12527 จำเลยจ่ายเงินให้แก่พนักงานและลูกจ้างโดยมิได้หักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่ายและไม่นำส่งให้ถูกต้องครบถ้วน เจ้าพนักงานประเมินจึงมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถึงจำเลยให้ชำระภาษีเพิ่มเติมพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม กับมีหนังสือแจ้งให้นำส่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายพร้อมเงินเพิ่ม และส่งแบบหนังสือแจ้งภาษีการค้าให้จำเลยชำระภาษีเพิ่มเติม พร้อมเงินเพิ่มและภาษีบำรุงจังหวัด รวมเป็นเงินค่าภาษีอากรที่จำเลยต้องชำระทั้งสิ้น 1,216,022.74 บาท จำเลยได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีอากรดังกล่าว แต่จำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อมาจำเลยชำระภาษีอากรค้าบางส่วน ครั้นปี 2534โจทก์ประกาศนิรโทษกรรมยกเลิกเงินเพิ่มและเบี้ยปรับ จำเลยได้รับสิทธิดังกล่าวจำเลยคงค้างชำระภาษีอากรเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,094,507.21 บาท โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ภาษีอากรค้างดังกล่าวแล้ว 2 ครั้ง มีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน จำเลยรับหนังสือทวงถามแต่ไม่ชำระหนี้และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ พฤติการณ์ของจำเลยจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัว หนี้ภาษีอากรค้างดังกล่าวเป็นหนี้อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้ล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เป็นหนี้ค่าภาษีอากรตามฟ้องและยังไม่มีคำพิพากษาว่าจำเลยเป็นหนี้ภาษีอากรโจทก์หรือไม่จึงยังไม่เป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ทั้งสิทธิเรียกร้องในหนี้ภาษีอากรดังกล่าวเป็นหนี้ที่จำเลยค้างชำระก่อนวันที่26 กันยายน 2527 โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกร้องภายใน 10 ปีจึงขาดอายุความ จำเลยเป็นกำนัน จำเลยมีทรัพย์สินและประกอบธุรกิจการค้ามีรายได้สามารถชำระหนี้โจทก์ ก่อนฟ้องจำเลยเคยชำระหนี้แก่โจทก์บางส่วน จำเลยไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่า มูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนหรือไม่ โจทก์มีนางสาวสุวภรณ์ อัศวอิ่มสุวรรณ์ นางสาวจันทณี ปฏิภาณกวี และนายเสกสรรค์ สุทิน เป็นพยานเบิกความว่าเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ตรวจพบว่า ในปีภาษี 2527 และปีภาษี 2528จำเลยชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและยื่นรายรับเพื่อชำระภาษีการค้าไม่ถูกต้องครบถ้วน กับพบว่าในปี 2527 จำเลยจ่ายเงินให้แก่พนักงานและลูกจ้างโดยมิได้หักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่ายและไม่นำส่งให้ถูกต้องครบถ้วน เจ้าพนักงานประเมินจึงมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถึงจำเลยให้ชำระภาษีเพิ่มเติมพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม กับส่งแบบหนังสือแจ้งภาษีการค้าให้จำเลยชำระภาษีเพิ่มเติมพร้อมเงินเพิ่มและภาษีบำรุงจังหวัดและมีหนังสือแจ้งให้จำเลยนำส่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายพร้อมเงินเพิ่ม รวมเป็นเงินค่าภาษีอากรที่จำเลยต้องชำระทั้งสิ้น1,216,022.74 บาท ภายใน 30 วัน นับแต่วันรับหนังสือจำเลยรับหนังสือดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2531 แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ภาษีอากรดังกล่าวและมิได้อุทธรณ์การประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 ดังนี้ เห็นว่า ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 30 กำหนดให้อุทธรณ์การประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เพื่อให้พิจารณายกเลิกเพิกถอนแก้ไขการประเมินได้แต่จำเลยไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์การประเมินย่อมถือได้ว่าการประเมินดังกล่าวชอบแล้วและเป็นอันยุติ จำเลยจะยกข้อต่อสู้ว่าการประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินไม่ชอบเพราะเงินรายรับบางส่วนไม่ใช่ของจำเลยหาได้ไม่ ทั้งข้อเท็จจริงได้ความต่อไปว่า โจทก์ยึดทรัพย์สินของจำเลยออกขายทอดตลาดได้เงิน 29,010 บาทตามสำเนาแบบคำขอชำระภาษีอากรคงค้างเอกสารหมาย จ.16 เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2531 กับวันที่ 15 กันยายน 2532 จำเลยชำระภาษีอากรค้างแก่โจทก์เป็นจำนวนเงิน 1,999 บาท และ 2,000 บาท ตามลำดับตามสำเนาแบบคำขอชำระภาษีอากรคงค้างเอกสารหมาย จ.17เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2535 และวันที่ 31 มีนาคม 2535 จำเลยชำระภาษีอากรค้างอีก 783 บาท และ 486.53 บาท จำเลยจึงได้รับนิรโทษกรรมยกเลิกเงินเพิ่มและเบี้ยปรับเป็นจำนวนเงิน1,489 บาท ตามสำเนาแบบคำขอชำระภาษีอากรคงค้างเอกสารหมาย จ.18 นอกจากนี้ จำเลยยังได้รับนิรโทษกรรมยกเลิกเบี้ยปรับเป็นจำนวนเงิน 12,581 บาท 7,296 บาท 47,307 บาท และ 18,562 บาท ตามสำเนาแบบขอชำระภาษีอากรคงค้างเอกสารหมาย จ.19 จำเลยจึงคงเป็นหนี้ภาษีอากรค้าง 1,094,507.21 บาท หนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน และไม่มีกฎหมายบัญญัติว่ามูลหนี้ที่นำมาฟ้องคดีล้มละลายต้องดำเนินการฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลให้มีคำพิพากษาก่อนจึงจะเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อมามีว่า สิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องขาดอายุความหรือไม่ ได้ความว่าจำเลยรับหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แบบหนังสือแจ้งภาษีการค้าและหนังสือแจ้งให้นำส่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหักณ ที่จ่าย เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2531 ให้ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมพร้อมเบี้ยปรับกับเงินเพิ่มภาษีการค้าเพิ่มเติมพร้อมเบี้ยปรับกับภาษีบำรุงจังหวัด และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายพร้อมเงินเพิ่มภายใน 30 วันนับแต่วันรับหนังสือ เห็นว่า การที่เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือถึงจำเลยให้ชำระภาษีอากรดังกล่าวนั้น ถือได้ว่าเป็นการสั่งบังคับตามอำนาจกฎหมาย เพื่อให้ลูกหนี้ชำระหนี้ค่าภาษีอากรตามที่เรียกร้องอันมีผลให้ลูกหนี้อาจถูกยึดทรัพย์สินขายทอดตลาดโดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาล การสั่งบังคับดังกล่าวเป็นการที่เจ้าหนี้ได้กระทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีเพื่อให้ชำระหนี้ตามที่เรียกร้องดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(5) อายุความจึงสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่พ้นระยะเวลา 30 วัน ที่กำหนดให้จำเลยนำเงินภาษีอากรไปชำระ ดังนั้น อายุความเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ภาษีอากรดังกล่าวจึงเริ่มนับใหม่นับแต่วันที่ 15 กันยายน 2531 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2537จึงยังไม่ล่วงพ้นกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/31 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ และตามมาตรา 193/14มิได้บัญญัติว่า การที่อายุความสะดุดหยุดลงจะมีได้แต่เฉพาะกรณีลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้เพียงกรณีเดียวดังที่จำเลยฎีกาเท่านั้น หากแต่บัญญัติไว้หลายกรณี
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีรายได้และทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ภาษีอากรค้างได้ทั้งหมดและไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่า50,000 บาท และเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share