แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ลูกหนี้ได้กู้เงินเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ไปสองครั้งโดยได้ทำสัญญากู้ไว้ 2 ฉบับฉบับละ 400,000 บาท แม้จะปรากฏว่าเงินที่เจ้าหนี้ให้ลูกหนี้กู้ในครั้งแรกจำนวน 400,000 บาท เป็นเงินของเจ้าหนี้เอง 200,000 บาท และเป็นเงินของบิดาเจ้าหนี้ 200,000 บาท และเงินที่ให้ลูกหนี้กู้ในครั้งที่สองเป็นเงินของเจ้าหนี้เอง 100,000 บาท เป็นของบิดาเจ้าหนี้ 100,000 บาท และเป็น ของ ท. ป้าของเจ้าหนี้ 200,000 บาท ก็ตาม เงินในส่วนที่เป็นของบิดาเจ้าหนี้และของป้าเจ้าหนี้ ถือได้ว่าเป็นเงินที่บิดาและป้ามอบหมายให้เจ้าหนี้เป็นผู้ดำเนินการให้ลูกหนี้กู้ไป จึงเท่ากับเจ้าหนี้เป็นผู้ให้กู้สำหรับจำนวนเงินทั้งหมดตามสัญญากู้ทั้งสองฉบับนั้นเจ้าหนี้จึงมีสิทธิเรียกร้องจากลูกหนี้ได้เต็มตามจำนวนที่ลูกหนี้ได้ทำสัญญากู้ไว้
ย่อยาว
คดีนี้ นางสาวประไพ เจ้าหนี้รายที่ 6 โดยหลวงเจริญ รัตนวิโรจน์ผู้รับมอบอำนาจ ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองตามสัญญากู้และดอกเบี้ย รวมเป็นเงิน 964,499 บาท ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด เจ้าหนี้รายที่ 2 และนางบุญชูหรือจู เจ้าหนี้รายที่ 3 โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้รายนี้ว่า เจ้าหนี้และลูกหนี้ก่อหนี้ขึ้นโดยสมยอมกัน และโดยเจ้าหนี้รู้อยู่แล้วว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ทำการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้รายนี้แล้ว เห็นว่าเจ้าหนี้และลูกหนี้มิได้สมยอมทำสัญญากู้กัน เจ้าหนี้จึงมีสิทธิที่จะนำเอาสัญญากู้ตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 มาขอรับชำระหนี้ได้แต่โดยที่เจ้าหนี้ให้การรับว่าได้ให้ลูกหนี้ยืมเงินไปตามสัญญากู้ทั้ง 2 ฉบับรวม 300,000 บาท ส่วนอีก 500,000 บาท เป็นเงินของนายประเสริฐ กับของนางสาวทองคำ และบุคคลทั้งสองมิได้ทำหนังสือโอนหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เจ้าหนี้จึงมาขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ไม่ได้ เห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้สำหรับต้นเงิน 300,000 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีตั้งแต่วันกู้จนถึงวันที่ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวอีก 56,808.22 บาท รวมเป็นเงิน356,808.22 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองตามมาตรา 130(8)แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ส่วนที่ขอเกินมา 607,690.78 บาท เห็นควรให้ยกเสีย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นางสาวประไพเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
นางสาวประไพเจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของนางสาวประไพเจ้าหนี้เสียทั้งหมด เจ้าหนี้ผู้โต้แย้งมิได้แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความให้
นางสาวประไพเจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า มีการกู้เงินกันจริงและเจ้าหนี้ลูกหนี้มิได้สมยอมกันทำสัญญากู้ขึ้น
วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ได้พิเคราะห์แล้ว ได้ความจากนางสาวประไพเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ ว่าเงินที่ให้ลูกหนี้กู้ในครั้งแรกจำนวน 400,000บาท เป็นเงินของเจ้าหนี้เอง 200,000 บาท และเป็นเงินของบิดาเจ้าหนี้200,000 บาท ส่วนเงินที่ให้ลูกหนี้กู้ในครั้งที่สองจำนวน 400,000 บาทเป็นเงินของเจ้าหนี้เอง 100,000 บาท เป็นของบิดาเจ้าหนี้ 100,000 บาทและเป็นของนางสาวทองคำป้าของเจ้าหนี้ 200,000 บาท เห็นว่า เงินในส่วนที่เป็นของบิดาเจ้าหนี้และของป้าเจ้าหนี้ ถือได้ว่าเป็นเงินที่บิดาและป้ามอบหมายให้เจ้าหนี้เป็นผู้ดำเนินการให้ลูกหนี้กู้ไป จึงเท่ากับเจ้าหนี้เป็นผู้ให้กู้สำหรับจำนวนเงินทั้งหมดตามสัญญากู้ทั้ง 2 ฉบับนั้น เจ้าหนี้จึงมีสิทธิเรียกร้องจากลูกหนี้ได้เต็มตามจำนวนที่ลูกหนี้ได้ทำสัญญากู้ไว้ ฎีกาของเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ฟังขึ้น เมื่อได้วินิจฉัยเช่นนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของเจ้าหนี้ในข้ออื่น ๆ อีก
พิพากษากลับ ให้นางสาวประไพเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสอง เป็นเงินจำนวน 800,000 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สำหรับต้นเงิน 400,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2517 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2519 และสำหรับต้นเงินอีก 400,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2517 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2519 แต่รวมดอกเบี้ยทั้ง 2 จำนวนแล้วต้องไม่เกิน 164,494 บาท ตามที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ไว้