คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2645/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ชกต่อยทำร้ายผู้เสียหายเพื่อบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายจำต้องลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินและสัญญาซื้อขาย การที่จำเลยที่ 2พูดกับผู้เสียหายว่า คิดจะโกงหรือ อย่ามาเล่นกับฉันนะ ในขณะที่ จำเลยที่ 1 กระชากคอเสื้อผู้เสียหายอยู่ และต่อมาจำเลยที่ 1 ต่อยที่ บริเวณหางคิ้วซ้ายผู้เสียหายจนบาดเจ็บเลือดออก และพูดกับผู้เสียหาย ว่าให้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงิน มิฉะนั้นจะเจ็บตัวอีก ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย และร่วมกัน ข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้ในสัญญากู้เงิน สัญญากู้เงินก่อให้เกิดสิทธิในหนี้ซึ่งมีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินแก่ผู้ให้กู้ จึงเป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแก่ผู้ให้กู้ เมื่อจำเลยทั้งสองได้ไปซึ่งสัญญากู้เงินจากการข่มขืนใจโดยทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้เงินจากจำเลยที่ 2 อันเป็นการได้ประโยชน์ ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแล้วจึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดฐานกรรโชก และทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกรรโชกโดยข่มขืนใจนางสาวกนกกรวงษ์เธอ ผู้เสียหาย ให้ยอมเขียนสัญญากู้เงินว่าผู้เสียหายกู้เงินจำนวน135,000 บาท จากจำเลยทั้งสองโดยใช้รถยนต์คันหมายเลขทะเบียนก-5418 อุตรดิตถ์ ของผู้เสียหายเป็นประกันและให้ยอมมอบหลักฐานการครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวและบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียหายแก่จำเลยทั้งสองเพื่อประกอบสัญญากู้เงินดังกล่าว อันเป็นการให้จำเลยทั้งสองได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันขู่เข็ญและใช้กำลังประทุษร้ายชกต่อยทำร้ายผู้เสียหายที่บริเวณใบหน้าหลายครั้งจนผู้เสียหายยอมเช่นว่านั้น โดยได้เขียนสัญญากู้เงินและมอบหลักฐานการครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก-5418 อุตรดิตถ์ บัตรประจำตัวประชาชนให้จำเลยทั้งสอง การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 295 และ 337 ให้คืนสัญญากู้เงิน หลักฐานการครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก-5418 อุตรดิตถ์ และบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียหายให้แก่ผู้เสียหาย

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 295 และ 337 วรรคแรก การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 337 วรรคแรก จำคุกคนละ 2 ปี กับให้จำเลยทั้งสองคืนสัญญากู้เงินหลักฐานการครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก-5418 อุตรดิตถ์ และบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียหายให้แก่ผู้เสียหาย

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 3กรกฎาคม 2539 เวลาประมาณ 19 นาฬิกา นางสาวกนกกร วงษ์เธอ ผู้เสียหายได้ไปที่บ้านของจำเลยทั้งสองมีการคุยกันถึงหนี้สินค้างชำระในที่สุดได้มีการทำสัญญากู้เงินและสัญญาซื้อขายตามเอกสารหมาย ล.1และ ล.2 ต่อมาผู้เสียหายร้องทุกข์กล่าวหาว่าถูกจำเลยทั้งสองกรรโชกให้ผู้เสียหายต้องยอมทำหนังสือสัญญาดังกล่าว ในการกรรโชก จำเลยที่ 1 ได้ชกต่อยทำร้ายร่างกายทำให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บปรากฏบาดแผลตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเอกสารหมาย จ.1

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางสาวกนกกร วงษ์เธอ ผู้เสียหายเบิกความว่า เหตุที่ต้องไปบ้านจำเลยทั้งสองเพราะจำเลยที่ 2 โทรศัพท์มาตามให้นำเงินค่าสลากกินรวบที่ค้างชำระไปให้ เมื่อไปถึงจำเลยที่ 1เป็นคนเปิดประตูบ้าน หลังจากผู้เสียหายเข้าไปนั่งในบ้านแล้ว จำเลยที่ 1ถามว่าเงินที่ค้างชำระค่าสลากกินรวบซึ่งเลยเวลามา 2 วันแล้ว จะว่าอย่างไรเมื่อผู้เสียหายขอผัดผ่อน จำเลยที่ 1 พูดว่า ไม่ได้คิดจะโกงหรือ และเข้ามากระชากคอเสื้อผู้เสียหาย ในขณะนั้นจำเลยที่ 2 พูดกับผู้เสียหายว่าคิดจะโกงหรือ อย่ามาเล่นกับฉันนะ จำเลยที่ 1 ตะโกนบอกให้ผู้เสียหายเอาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียหายออกมา ผู้เสียหายหยิบบัตรประจำตัวประชาชนให้จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 เอาแบบฟอร์มของสัญญากู้เงินวางต่อหน้าผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 พูดด้วยเสียงอันดังว่า เขียนและเซ็นเดี๋ยวนี้พร้อมกับตบที่โต๊ะ ผู้เสียหายบ่ายเบี่ยง จำเลยที่ 1 ต่อยผู้เสียหายที่บริเวณหางคิ้วซ้ายได้รับบาดเจ็บมีเลือดออก แล้วบังคับให้ผู้เสียหายเขียนสัญญากู้เงินโดยจำเลยที่ 2 บอกว่า ให้เขียนสัญญากู้เงิน จะได้ไม่ต้องเจ็บตัวอีกผู้เสียหายจำต้องเขียนสัญญากู้เงินตามที่จำเลยที่ 2 บอก ต้องใช้เวลาเขียนถึง 3 ครั้ง เนื่องจากผู้เสียหายตกใจกลัวและมือสั่น ระหว่างที่เขียน จำเลยที่ 2พูดว่า เขียนซะ จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว ทั้งยังให้ผู้เสียหายไปเอาทะเบียนรถยนต์มาด้วย และได้ความจากนางสาวธัญญาลักษณ์ ล้อสินคำ พยานโจทก์ซึ่งเบิกความสนับสนุนว่า ก่อนที่ผู้เสียหายไปบ้านจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 2ซึ่งมีชื่อเล่นว่า ปุก ได้โทรศัพท์มาตามผู้เสียหายให้ไปที่บ้านเพื่อพูดเรื่องเงินค่าสลากกินรวบผู้เสียหายไปประมาณ 1 ชั่วโมง ก็กลับมา นางสาวธัญญาลักษณ์เห็นเลือดไหลที่บริเวณใบหน้าของผู้เสียหายจึงถามว่าไปโดนอะไรมา ผู้เสียหายบอกว่าถูกบังคับให้เซ็นสัญญากู้เงินตอนแรกไม่ยอมจึงโดนชก ในที่สุดก็ต้องยอมเซ็นชื่อให้ไป นอกจากนี้โจทก์ยังมีนางสาวปิยะวดี สินมณี และนายประทวนสินมณี เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า ได้เห็นที่เหนือคิ้วของผู้เสียหายมีบาดแผลเลือดไหล ทราบจากผู้เสียหายว่าถูกทำร้ายมาจึงแนะนำให้ไปแจ้งความโดยมีร้อยตำรวจโทนิรันดร โกมลรัตน์ พนักงานสอบสวนพยานโจทก์อีกปากเบิกความสนับสนุนว่า ในขณะรับแจ้งความ ผู้เสียหายมีเลือดไหลออกที่หัวคิ้วซ้ายจึงส่งผู้เสียหายไปพบแพทย์ แพทย์ทำรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลว่าพบบาดแผลฉีกขาดที่หางคิ้วซ้าย พิเคราะห์คำเบิกความพยานโจทก์ดังกล่าวแล้วเห็นว่า นอกจากหนี้สินที่ค้างชำระต่อกันแล้ว ผู้เสียหายไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองมาก่อน เหตุที่ต้องไปแจ้งความปรากฏข้อเท็จจริงจากพยานโจทก์คือนางสาวธัญญาลักษณ์ นางสาวปิยะวดี และนายประทวน ตรงกันว่า เมื่อเห็นบาดแผลที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายร่างกายมีเลือดไหลจึงแนะนำให้ไปแจ้งความและร้อยตำรวจโทนิรันดรเบิกความสนับสนุนว่า ตอนแรกผู้เสียหายไปแจ้งความเพียงต้องการสัญญาเงินกู้คืนเท่านั้น แสดงว่าพยานโจทก์ทุกปากเบิกความไปตามเหตุการณ์ที่รู้เห็นมาจริง ไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยทั้งสอง ทั้งบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับปรากฏตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเอกสารหมาย จ.1 ก็ได้ความสอดคล้องกับคำพยานผู้เสียหายที่ยืนยันว่าถูกจำเลยที่ 1 ชกต่อยที่บริเวณหางคิ้วซ้าย ทำให้คำพยานโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้เป็นมั่นคงว่า จำเลยที่ 1 ได้ชกต่อยทำร้ายผู้เสียหายจริงตามฟ้องสาเหตุที่ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่าเพื่อบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายจำต้องลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินและสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหนังสือสัญญากู้เงินและสัญญาซื้อขายทั้งสองฉบับนั้นทำขึ้นเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2539 ซึ่งตรงกับวันเกิดเหตุจึงทำให้คำพยานโจทก์สมเหตุผลยิ่งขึ้น การที่จำเลยที่ 2 พูดกับผู้เสียหายว่า คิดจะโกงหรืออย่ามาเล่นกับฉันนะ ในขณะที่จำเลยที่ 1 กระชากคอเสื้อผู้เสียหายอยู่และต่อมาจำเลยที่ 1 ต่อยที่บริเวณหางคิ้วซ้ายผู้เสียหายจนบาดเจ็บเลือดออกและพูดกับผู้เสียหายว่าให้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงิน มิฉะนั้นจะเจ็บตัวอีกถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและร่วมกันข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้ในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย ล.1 สัญญากู้เงินก่อให้เกิดสิทธิในหนี้ซึ่งมีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินแก่ผู้ให้กู้จึงเป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแก่ผู้ให้กู้ เมื่อจำเลยทั้งสองได้ไปซึ่งสัญญากู้เงินเอกสารหมาย ล.1 จากการข่มขืนใจโดยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้เงินจากจำเลยที่ 2 อันเป็นการได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแล้ว จึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดฐานกรรโชกและทำร้ายร่างกายผู้เสียหายมีความผิดตามฟ้อง แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงสภาพแห่งการกระทำผิด ประกอบกับจำเลยทั้งสองไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกมาก่อน ศาลฎีกาเห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไว้เพื่อให้โอกาสจำเลยทั้งสองกลับตนเป็นพลเมืองดี”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share