แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กล่าวมาในฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาให้ไว้แก่โจทก์ ถ้าไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนดยินยอมให้ปรับเป็นเงิน 200,000 บาท และเพื่อเป็นหลักประกันในการปฏิบัติตามสัญญาจำเลยที่ 2 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนนำโฉนดที่ดินมามอบไว้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิด ถือได้ว่าเป็นการฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำสัญญาประกันกับโจทก์ ซึ่งจำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธในข้อนี้ โดยต่อสู้คดีเพียงว่าไม่ได้ผิดนัดและโจทก์ไม่เสียหายจึงไม่มีอำนาจปรับจำเลยเท่านั้น การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีความผูกพันต่อโจทก์นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น นอกเหนือจากคำฟ้องและคำให้การ ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา เมื่อมีการผิดสัญญาประกัน จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มิได้ทำสัญญาประกันในนามของตนเอง แต่ทำแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการ จึงไม่ต้องรับผิดนั้นเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ค่าปรับจำนวน 200,000 บาท ซึ่งกำหนดให้จำเลยต้องเสียให้แก่โจทก์ตามสัญญาประกัน เป็นเบี้ยปรับอย่างหนึ่งที่ศาลมีอำนาจลดลงได้ ถ้าเห็นว่าสูงเกินไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 383
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประกันตัวนางสรัญญาผู้ต้องหา ซึ่งอยู่ในความควบคุมให้ไว้แก่โจทก์โดยสัญญาว่าจะส่งตัวผู้ต้องหาต่อโจทก์ตามที่โจทก์นัด ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่นำตัวผู้ต้องหาส่งตามกำหนดยินยอมให้โจทก์ปรับเป็นเงินจำนวน 200,000 บาทและเพื่อเป็นหลักประกันในการปฏิบัติตามสัญญา จำเลยที่ 2 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนนำโฉนดที่ดินมามอบไว้แก่โจทก์โจทก์จึงปล่อยตัวนางสรัญญาผู้ต้องหาไปชั่วคราว ต่อมาจำเลยที่ 1ไม่สามารถส่งตัวผู้ต้องหาให้แก่โจทก์ได้ เป็นการผิดสัญญาประกันโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองซึ่งต้องร่วมกันรับผิดชำระค่าปรับตามสัญญา แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 2 รับว่าได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปทำสัญญาประกันตัวนางสรัญญาผู้ต้องหาจริง แต่จำเลยทั้งสองมิได้ผิดนัดและจำเลยที่ 1 นำตัวนางสรัญญาผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนแล้วโจทก์ไม่เสียหาย จึงไม่มีอำนาจสั่งปรับจำเลยตามสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าปรับเป็นเงินจำนวน 60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์กล่าวมาในฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาให้ไว้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่นำตัวผู้ต้องหาส่งตามกำหนดนัด ยินยอมให้ปรับเป็นเงิน 200,000 บาท และเพื่อเป็นหลักประกันในการปฏิบัติตามสัญญาจำเลยที่ 2 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนนำโฉนดที่ดินมามอบไว้แก่โจทก์ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดชำระค่าปรับตามสัญญา ถือได้ว่าเป็นการฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำสัญญาประกันกับโจทก์ ซึ่งจำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธในข้อนี้ โดยต่อสู้คดีเพียงว่าไม่ได้ผิดนัดและโจทก์ไม่เสียหาย จึงไม่มีอำนาจปรับจำเลยเท่านั้น การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีความผูกพันต่อโจทก์นั้นจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น นอกเหนือจากคำฟ้องและคำให้การไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาดังนี้เมื่อมีการผิดสัญญาประกัน จำเลยที่ 2จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 มิได้ทำสัญญาประกันในนามของตนเอง แต่ทำแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการ จึงไม่ต้องรับผิดนั้น เป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยพาดพิงไปถึงในเรื่องตัวแทนด้วยก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่พิพาทกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 สำหรับเรื่องค่าปรับตามสัญญาที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างฎีกามานั้น เห็นว่าค่าปรับจำนวนเงิน 200,000 บาท ซึ่งกำหนดให้จำเลยที่ 1ต้องเสียให้แก่โจทก์ตามสัญญาประกันเป็นเบี้ยปรับอย่างหนึ่งที่ศาลมีอำนาจลดลงได้ถ้าเห็นว่าสูงเกินไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 คดีนี้แม้จำเลยที่ 1 จะผิดสัญญาไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนดนัด แต่ก็ได้พยายามนำตัวมาส่งมอบให้แก่โจทก์จนได้ซึ่งเป็นเวลาภายหลังขอเลื่อนการส่งตัวแล้วเกือบสองเดือนที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจลดค่าปรับลงมา โดยให้ปรับเป็นเงิน60,000 บาท นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วนฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย