คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2641/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 69วรรคสามขยายความมาตรา69 วรรคสอง เฉพาะความผิดฐานจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ซึ่งเป็นมอร์ฟีน ฝิ่นหรือโคคาอีนที่มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม
จำเลยมีมูลฝิ่นหนัก 8.5 กรัม ไว้ในครอบครอง จึงต้องวางอัตราโทษตามมาตรา 69 วรรคหนึ่ง ศาลล่างวางโทษจำเลยตามมาตรา 6แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่2) พ.ศ.2528 ซึ่งเป็นบทแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 69 วรรคสามและวรรคสี่ด้วยนั้นไม่ถูก ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเป็นไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่2)พ.ศ.2528 มาตรา 6.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีมูลฝิ่นหนัก 8.5 กรัม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 17, 69, 97, 102 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 4, 6, 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 92ริบของกลางคือมูลฝิ่นกับหัวกล้องและด้ามกล้อง 2 ชุด เหล็กแยงหัวกล้อง 1 อัน ตะปูแยงหัวกล้อง 1 ตัว ใบลาน 1 ใบ และตะเกียง 1 ดวงซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการเสพฝิ่นและขอให้เพิ่มโทษกับนับโทษต่อ
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 17, 69, 97, 102 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 4, 6, 10 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 92 จำคุก 1 ปี เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งเป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือนจำเลยรับสารภาพ กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือนริบของกลางทั้งหมด ยกคำขอให้นับโทษต่อเพราะศาลยังไม่ได้พิพากษาคดีที่ขอให้นับโทษต่อ
โจทก์อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคสาม ศาลชั้นต้นลงโทษต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำของกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า วัตถุของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นมูลฝิ่น จึงต้องวางโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคสาม ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2528 มาตรา 6 นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 69 ได้บัญญัติหลักการของการกระทำความผิดไว้ 2 ประการ คือประการแรกวางโทษผู้มียาเสพติดให้โทษประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยบัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปีและปรับไม่เกินห้าหมื่นบาทประการที่สองวางโทษผู้จำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 2 โดยบัญญัติไว้ในวรรคสอง มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท จึงเห็นได้ว่าอัตราโทษการมีไว้ในครอบครองกับอัตราโทษการจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายแตกต่างกัน โดยอัตราโทษการจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายจะสูงกว่าอัตราโทษการมีไว้ในครอบครอง ส่วนข้อความในมาตรา 69 วรรคสาม ของพระราชบัญญัตินี้ขยายความเฉพาะในวรรคสองคือบทบัญญัติมาตรา 69 วรรคสาม หมายความเฉพาะความผิดฐานจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งมอร์ฟีน โคคาอีนและฝิ่นที่มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัมเท่านั้น คดีนี้จำเลยมีมูลฝิ่นหนัก 8.5 กรัมไว้ในครอบครอง จึงต้องวางอัตราโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา69 วรรคหนึ่ง ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาถูกต้องแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งให้ปรับบทลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 6 ซึ่งเป็นบทแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคสามและวรรคสี่นั้นไม่ถูกต้อง จำเลยคงมีความผิดตามมาตรา 69 วรรคหนึ่งเท่านั้นศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคหนึ่ง ไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 6 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share