คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2640/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ตามสัญญาจ้างเหมาจะได้กำหนดระยะเวลาการส่งมอบงานและหลักเกณฑ์ในการชำระค่าจ้างไว้ว่าวิธีการจ่ายค่าจ้างให้ถือเอาความแล้วเสร็จของงานจ้างเหมาแต่ละชุดเป็นเกณฑ์ในการชำระค่าจ้างแต่ละงวด โดยให้คิดเนื้องานที่ทำแล้วเสร็จก็ตรา แต่ในการจ่ายค่าจ้างก่อสร้างให้โจทก์ในแต่ละครั้งไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนและจำนวนเงินที่จ่ายให้ก็สุดแล้วแต่ทางฝ่ายจำเลยซึ่งมีทั้งขอผัดชำระและมีการหักไว้บางส่วน โดยอ้างว่าจะจ่ายส่วนที่เหลือทั้งหมดให้เมื่อทำถนนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แสดงว่าโจทก์กับจำเลยต่างมิได้ยึดถือเอากำหนดระยะเวลาชำระค่าจ้างแต่ละงวดตามสัญญาเป็นข้อสาระสำคัญ แต่ยึดถือเมื่องานเสร็จตามโครงการแล้วจะต้องชำระให้หมดสิ้น โจทก์ได้ทำงานเสร็จทั้งโครงการและส่งมอบงานงวดสุดท้ายให้จำเลยรับไปในวันที่ 27 เมษายน 2532 อายุความเรียกค่าก่อสร้างและค่าจ้างจึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันสิ้นสุดการทำงานตามโครงการก่อสร้างของโจทก์ เมื่อนับถึงวันฟ้องคือวันที่ 26 เมษายน 2534 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน2,383,657.60 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เป็นเวลา1 ปี 11 เดือน คิดเป็นดอกเบี้ย 685,301.56 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น3,068,959.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน2,383,657.60 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ และจำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งว่า ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย 6,756,151.85 บาท แก่จำเลยที่ 1 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,466,590.15 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่1 พฤษภาคม 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 คำขออื่นของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่11 สิงหาคม 2530 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจ้างเหมาโจทก์ทำถนนท่อระบายน้ำและทางเท้าภายในโครงการหมู่บ้านจัดสรร “อยู่สบาย”ให้เป็นไปตามแบบแปลนแผนผังและตามคำสั่งของจำเลย ตามสัญญาจ้างเหมาทำถนนและวางท่อระบายน้ำภายในโครงการหมู่บ้านจัดสรรและรายละเอียดการก่อสร้างถนนและท่อระบายน้ำเอกสารหมาย จ.3และ จ.8 (ล.1) การทำงานทั้งโครงการนั้นจำเลยแบ่งงานออกเป็น 3 ตอนโจทก์ได้ก่อสร้างตามแบบแปลนและส่งมอบให้จำเลยตรวจรับมอบไปทั้ง 3 ตอนแล้ว แต่จำเลยได้ชำระค่าก่อสร้างสำหรับงานตอนที่ 1และตอนที่ 2 คงค้างเฉพาะงานก่อสร้างตอนที่ 3
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีเพียงว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การชำระเงินค่าก่อสร้างให้ถือเอาความแล้วเสร็จตามเนื้องานที่เสร็จเป็นหน่วยเมื่อจำเลยที่ 1 ตรวจรับมอบงานแต่ละงวดแล้วจะจ่ายให้โจทก์ภายใน 3 วัน อายุความในการฟ้องเรียกค่าจ้างและค่าก่อสร้างดังกล่าวจึงเกิดขึ้นเมื่อครบ 3 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1ได้ตรวจรับมอบงานแต่ละงวดที่โจทก์ได้ส่งมอบงานและขอเบิกเงินมาดังนี้สิทธิเรียกร้องสินจ้างของโจทก์ตามหนังสือมอบงาน รวม 7 ฉบับเลขที่ 256/2531, 269/2531, 270/2531, 018/2532, 041/2532,055/2532 และ 060/2532 เมื่อนับระยะเวลาตามสิทธิเรียกร้องค่าจ้างและค่าก่อสร้างคิดถึงวันฟ้องเป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 ปีแล้วนั้น ในข้อนี้ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าในการจ่ายค่าจ้างก่อสร้างให้โจทก์ในแต่ละครั้งไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน และจำนวนเงินที่จ่ายให้ก็สุดแล้วแต่ทางฝ่ายจำเลยที่ 1 ซึ่งมีทั้งขอผัดชำระและมีการหักไว้อีกร้อยละ 10 โดยอ้างว่าจะจ่ายส่วนที่เหลือทั้งหมดให้เมื่อทำถนนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนี้ แม้ตามสัญญาจ้างเหมาเอกสารหมาย จ.3จะได้กำหนดระยะเวลาการส่งมอบงานและหลักเกณฑ์ในการชำระค่าจ้างไว้ในสัญญาข้อ 5 ตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าวิธีการจ่ายค่าจ้างให้ถือเอาความแล้วเสร็จของงานจ้างเหมาแต่ละชุดเป็นเกณฑ์ในการชำระค่าจ้างแต่ละงวด โดยให้คิดเนื้องานที่ทำแล้วเสร็จก็ตามแสดงว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ต่างมิได้ยึดถือเอากำหนดระยะเวลาชำระค่าจ้างแต่ละงวดตามสัญญาเป็นข้อสาระสำคัญ แต่ยึดถือเมื่องานเสร็จตามโครงการแล้วจะต้องชำระให้หมดสิ้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ได้ทำงานเสร็จทั้งโครงการและส่งมอบงานงวดสุดท้ายให้จำเลยที่ 1 รับไปในวันที่ 27 เมษายน 2532 ซึ่งปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ค้างจ่ายค่าก่อสร้างและค่าจ้างตามจำนวนดังกล่าวในฟ้อง อายุความจึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันสิ้นสุดการทำงานตามโครงการก่อสร้างของโจทก์ เมื่อนับถึงวันฟ้องคือวันที่ 26 เมษายน2534 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share