คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีอาญาของศาลคดีเด็กและเยาวชนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง มิได้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ไม่มีเจตนาฆ่าเพราะไม่ปรากฏมูลเหตุจูงใจว่าจำเลยยิงผู้ตายเพราะเหตุใดเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1236/2510)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๑๒ เวลากลางวัน จำเลยได้กระทำผิดหลายกระทง คือ บังอาจร่วมกันมีอาวุธปืน ๑ กระบอกไว้ในความครอบครองไม่รับอนุญาตและบังอาจร่วมกันพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร แล้วได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนนั้นยิงนายเม่งกุ่ย แซ่เฮ้ง นายสมคิด แซ่ลี้ นายวันชัย ปัญจโรจนากุล และนายฮังเม็ง แซ่เบ๊ โดยเจตนาฆ่า นายเม่งกุ่ย และนายสมคิดถึงแก่ความตาย ส่วนผู้ถูกยิงอีก ๓ คนไม่ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลมหาพฤฒาราม อำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๓๗๑, ๘๓ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๔)พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๓
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์ได้ ๒ คนจำเลยที่ ๑ กลับให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๓๗๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯพ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๔)พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๓ ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ซึ่งเป็นกระทงหนักตามมาตรา ๙๑ วางโทษโดยลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสาม ตามมาตรา ๗๖ แล้ว จำคุก ๑๒ ปี ลดโทษตามมาตรา ๗๘ให้อีกหนึ่งในสาม คงจำคุก ๘ ปี ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง จนกว่าจำเลยจะมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กฯ (ฉบับที่ ๒)พ.ศ. ๒๕๐๖ มาตรา ๙ ส่วนจำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๗๑ และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๓ ให้ลงโทษฐานมีอาวุธปืนไม่รับอนุญาตซึ่งเป็นกระทงหนักตามมาตรา ๙๑อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๔ จึงให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางมีกำหนด ๕๐ วันจำเลยที่ ๒ ถูกควบคุมตัวมาพอตามกำหนดแล้ว ให้ปล่อยตัวจำเลยที่ ๒ ไป
จำเลยที่ ๑ ผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ปืนของกลางเป็นปืนไม่รับอนุญาตและเป็นของใช้กระทำผิดให้ริบ
จำเลยที่ ๑ ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะฎีกาข้อ ๒ ก.นอกนั้นไม่รับเพราะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยที่ ๑ ไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง มิได้ลงโทษจำเลยที่ ๑ โดยจำคุกเกิน ๕ ปี จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๓๖/๒๕๑๐ คดีระหว่างพนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์ นายตู่หรืออานนท์ อิ่มละออ หรือ เอี่ยมละออ จำเลย
ฎีกาข้อ ๒ ก. ของจำเลยที่ ๑ สรุปความได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการกระทำที่ไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย เพราะไม่ปรากฏมูลเหตุจูงใจว่าจำเลยที่ ๑ ยิงผู้ตายเพราะเหตุใด นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนที่ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ให้ก็ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ ๑ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ ๑ ให้ไม่ได้
พิพากษาให้ยกฎีกาจำเลยที่ ๑

Share