แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เอกสารที่โจทก์ยื่นต่อศาล โจทก์ได้ใช้แบบพิมพ์ (31)อุทธรณ์(32) ท้ายอุทธรณ์แล้วมาแก้เป็นฎีกา ในเนื้อหาได้บรรยายเป็นรูปอุทธรณ์คำสั่งแล้วลงท้ายกลายเป็นขอให้ศาลฎีกาพิพากษาซึ่งเป็นเรื่องเปะปะปนกันยุ่งไปหมดโดยไม่ทราบแน่ว่าโจทก์ประสงค์จะยื่นเป็นฎีกาเป็นอุทธรณ์หรือเป็นคำร้องจะว่าเป็นฎีกา แต่แล้วศาลชั้นต้นก็มิได้สั่งรับหรือไม่รับฎีกาเพียงแต่สั่งรวมสำนวนส่งศาลฎีกาเท่านั้นดังนี้อาศัยความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจสั่งให้คืนคำคู่ความของโจทก์ไปจัดทำเสียใหม่ให้ถูกต้องได้
ย่อยาว
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ยื่นฎีกาและยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นพร้อมกับฎีกา ขอให้ศาลรับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาและมีคำสั่งคำร้องว่า ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นย้ายไปรับราชการศาลอื่นแล้ว จึงรับรองให้ไม่ได้ให้ยกคำร้อง โจทก์จึงยื่นเอกสารลงวันที่ 4 สิงหาคม 2510 ต่อศาลชั้นต้นศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “สำเนาให้จำเลย แล้วรวมสำนวนส่งศาลฎีกา”
ศาลฎีกาดูเอกสารดังกล่าว โจทก์ได้ใช้กระดาษแบบพิมพ์ (31)อุทธรณ์ (32) ท้ายอุทธรณ์ แล้วขีดฆ่าคำว่าอุทธรณ์ออก แล้วเขียนคำว่าฎีกาแทน และมีการฆ่าข้อความที่เขียนบรรยายไว้ในคำคู่ความนี้จากคำว่า “ศาลอุทธรณ์” ออก ใช้คำว่า “ฎีกา” แทน เป็นการแสดงว่าเป็น “ศาลฎีกา” แต่บางตอนมิได้แก้ไข คงมีคำว่าอุทธรณ์อยู่ตามเดิมการที่โจทก์ใช้กระดาษแบบพิมพ์สำหรับคำคู่ความในลักษณะหนึ่งมาแก้ไขใช้สำหรับอีกลักษณะหนึ่งเช่นนี้ จึงทำให้เกิดการสับสนยากที่จะเข้าใจว่า โจทก์มุ่งจะให้เป็นอะไร โจทก์ได้ใช้แบบพิมพ์ (31) อุทธรณ์ (32) ท้ายอุทธรณ์ มาแก้เป็นฎีกา และบรรยายเนื้อหาเป็นรูปอุทธรณ์คำสั่ง แล้วลงท้ายกลายเป็นขอให้ศาลฎีกาพิพากษา เป็นเรื่องปะปนกันยุ่งไปหมด ไม่ทราบได้ว่าโจทก์ประสงค์ยื่นเป็นฎีกาเป็นอุทธรณ์หรือเป็นคำร้อง จะว่าเป็นฎีกา ศาลชั้นต้นก็มิได้สั่งรับหรือไม่รับฎีกา เพียงแต่สั่งรวมสำนวนส่งศาลฎีกาเท่านั้น อาศัยความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ประกอบด้วยมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งคืนคำคู่ความของโจทก์ ไปจัดทำเสียใหม่ให้ถูกต้องภายในกำหนด 7 วัน แล้วให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไปตามควรแก่กรณี สำหรับในชั้นนี้ ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความของศาลฎีกา