คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2629/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้รับการยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินจากบิดา แต่เนื่องจากพี่น้องของโจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนบิดาซึ่งเป็นคนต่างด้าว การโอนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์จึงทำเป็นสัญญาซื้อขาย แล้วโจทก์ได้ขายที่ดินไปหลังจากได้กรรมสิทธิ์มาเป็นเวลาถึง 14 ปี แม้ระหว่างนั้นจะมีการจำนองและไถ่จำนองที่ดินและการรวมที่ดินเป็นแปลงใหญ่ รวมทั้งจัดหาที่ดินทำทางเข้าออกติดกับถนนใหญ่ด้วย ก็เป็นการกระทำเพียงเพื่อจะให้ได้ขายที่ดินได้ในราคาสูงซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของปุถุชนและไม่ได้ความว่าโจทก์ได้เคยซื้อขายที่ดินมาก่อน คงมีการขายที่ดินครั้งพิพาทนี้ครั้งเดียว การกระทำของโจทก์ยังไม่เป็นการกระทำเพื่อมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร
โจทก์ได้รับการยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินจากบิดา แต่ทำเป็นสัญญาซื้อขาย การที่โจทก์นำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่าสัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์นั้นย่อมนำสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง
การกระทำของโจทก์ในการจดทะเบียนนิติกรรมสัญญาซื้อขายที่ดินนั้นเป็นการแสดงเจตนาลวง แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 118 วรรคแรก ห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายแต่การแสดงเจตนาลวงนั้นก็ตาม แต่ในการประเมินเรียกเก็บภาษีของเจ้าพนักงานประเมินจะกระทำได้ก็ต้องให้ได้ความด้วยว่าโจทก์ได้มุ่งในทางการค้าและหากำไรด้วย ซึ่งข้อนี้จำต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อปี พ.ศ. 2505 นายเป้งบิดาโจทก์ตกลงแบ่งทรัพย์สินต่าง ๆ ให้แก่โจทก์และบุตรคนอื่น โจทก์ได้ที่ดิน3 แปลง เนื่องจากที่ดินดังกล่าวมีบุตรคนอื่นถือกรรมสิทธิ์แทนนายเป้ง ผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนโอนให้โจทก์โดยระบุว่าเป็นการซื้อขาย โดยข้อเท็จจริงแล้วไม่มีการซื้อขายและการรับกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวมาก็มิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร เมื่อโจทก์ขายที่ดินโจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้ ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่าโจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวจากพี่น้องของโจทก์ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2519 โจทก์ขายที่ดินดังกล่าวไป โจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวมาเพื่อการค้าและหากำไรหนังสือบันทึกการแบ่งทรัพย์สินทำขึ้นเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในสัญญาซื้อขายที่ดินอันเป็นเอกสารราชการขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้า ภาษีเงินได้และคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 3311, 3314 และ 3316 มาจากนายสวัสดิ์นายวุฒิศาล และนายวิชิต โดยระบุว่าเป็นการซื้อขาย ต่อมาโจทก์ได้ขายที่ดินดังกล่าวให้การเคหะแห่งชาติภายหลังจากที่ได้กรรมสิทธิ์เป็นเวลาประมาณ 14 ปี เดิมบุคคลทั้งสามถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสามแปลงแทนนายเป้ง เมื่อนายเป้งประสงค์จะแบ่งทรัพย์สินให้แก่บุตรโดยจับสลากเมื่อจับสลากแล้วได้มีการทำบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ปรากฏว่าทรัพย์สินที่โจทก์และพี่น้องได้รับยกให้โดยการจับสลากนั้น ไม่ตรงกับทรัพย์สินที่ได้ยึดถืออยู่ก่อนแล้ว จึงต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์แก่กันให้ตรงกับทรัพย์สินที่ตนได้กรรมสิทธิ์การโอนทรัพย์สินระหว่างโจทก์และพี่น้องเป็นการโอนให้แลกเปลี่ยนกัน ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารสัญญาซื้อขาย เป็นการไม่ต้องด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น เห็นว่า เป็นเรื่องที่โจทก์นำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่าพยานเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์โจทก์มีสิทธินำสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคสอง และที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงจะใช้ยันบุคคลภายนอกและจำเลยหาได้ไม่นั้นเห็นว่า การกระทำของโจทก์ในการจดทะเบียนนิติกรรมสัญญาซื้อขายที่ดินนั้นเป็นการแสดงเจตนาลวงแม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 118 วรรคแรกห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายแต่การแสดงเจตนาลวงนั้นก็ตาม แต่ในการประเมินเรียกเก็บภาษีของเจ้าพนักงานประเมินในคดีนี้จะกระทำได้ก็ต้องให้ได้ความด้วยว่าโจทก์ได้มุ่งในทางการค้าและหากำไรด้วย ซึ่งข้อนี้จำต้องพิจารณาโดยละเอียดถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ขายที่ดินไปหลังจากได้กรรมสิทธิ์มาเป็นเวลาถึง 14 ปี แม้ระหว่างนั้นจะมีการจำนองและไถ่จำนองที่ดินและมีการรวมที่ดินเป็นแปลงใหญ่ รวมทั้งจัดหาที่ดินทำทางเข้าออกติดกับถนนใหญ่ด้วย ดังที่จำเลยฎีกาก็เห็นว่าเป็นการกระทำเพียงเพื่อจะให้ได้ขายที่ดินได้ในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของปุถุชนทั่วไป และไม่ได้ความว่าโจทก์ได้เคยซื้อขายที่ดินมาก่อนคงมีการขายที่ดินครั้งพิพาทนี้เพียงครั้งเดียว ศาลฎีกาได้พิเคราะห์โดยตระหนักแล้วเห็นว่า การกระทำของโจทก์ยังไม่เป็นการกระทำเพื่อมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ดังนั้นการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้เพิกถอนคำสั่งแจ้งการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์เสียนั้น เป็นการชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share