คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2618/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เช่าซื้อรู้เห็นเป็นใจด้วยในการที่ลูกจ้างของตนนำรถยนต์ของกลางที่เช่าซื้อมาไปกระทำความผิด ทำให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ แต่ผู้ร้องมิได้บอกเลิกสัญญา สัญญาเช่าซื้อจึงมีผลอยู่โดยผู้เช่าซื้อมีสิทธิครอบครองใช้สอยรถยนต์ของกลางอันเป็นทรัพย์ที่เช่าซื้อได้ตามสัญญา หากศาลสั่งคืนรถยนต์ของกลางให้ผู้ร้อง ผู้ร้องก็ต้องมอบต่อให้ผู้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อ การขอคืนรถยนต์ของกลางของผู้ร้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อ จึงเป็นการร้องขอคืนแทนผู้เช่าซื้อซึ่งรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขอคืนของกลาง.

ย่อยาว

คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 24, 27, 27 ทวิ และสั่งริบรถยนต์บรรทุก 6 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน 80-1204ภูเก็ต ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางและมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดดังกล่าว ขอให้สั่งคืนของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงในรถยนต์ของกลางและมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดกับจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองนำรถยนต์ไปบรรทุกสินค้าตามคำสั่งของนายพิสิฐ แซ่อึ้ง ผู้เช่าซื้อรถยนต์ของกลางซึ่งเป็นนายจ้าง ผู้เช่าซื้อรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสอง แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เช่นนี้การที่ผู้เช่าซื้อนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปกระทำความผิดในคดีนี้ผู้ร้องมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.3แต่ผู้ร้องก็มิได้บอกเลิกสัญญา สัญญาเช่าซื้อจึงยังคงมีผลอยู่โดยผู้เช่าซื้อยังคงมีสิทธิครอบครองใช้สอยรถยนต์ของกลางอันเป็นทรัพย์ที่เช่าซื้อได้ตามสัญญา หากศาลสั่งคืนรถยนต์ของกลางให้ผู้ร้องผู้ร้องก็ต้องมอบต่อให้ผู้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อ การขอคืนรถยนต์ของกลางของผู้ร้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของนายพิสิฐผู้เช่าซื้อจึงเป็นการร้องขอคืนแทนผู้เช่าซื้อซึ่งรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดนั่นเอง ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขอคืนของกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share