แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยจำเลยที่ 3 มีหน้าที่ปิดกั้นแผงกั้นถนนเมื่อมีขบวนรถไฟวิ่งผ่านตรงที่ทางรถไฟตัดผ่านถนน ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ละทิ้งหน้าที่ไป ตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวงพระพุทธศักราช 2464 มาตรา 72 บัญญัติว่าเมื่อทางรถไฟผ่านข้ามถนนสำคัญเสมอระดับ ให้ทำประตูหรือขึงโซ่หรือทำราวกั้นขวางถนน ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่โดยตรงของจำเลยที่ 3 ต้องป้องกันภัยในการที่จะเดินรถไฟตัดผ่านถนนการที่จำเลยที่ 2 ไม่นำแผงมาปิดกั้นถนนขณะที่ขบวนรถไฟจะแล่นผ่านจึงเป็นการละเลยไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ถือได้ว่าเป็นการประมาทอย่างร้ายแรงถ้าหากปิดแผงกั้นถนนแล้ว รถยนต์ของโจทก์ที่ 1 ก็ไม่อาจขับผ่านเข้าไปถึงทางรถไฟจนเกิดเหตุชนกันได้ จำเลยที่ 2 มีส่วนประมาทมากกว่าโจทก์ที่ 1 ที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าวันเกิดเหตุพนักงานรถไฟบางส่วนนัดหยุดงาน ไม่สามารถหาคนมาปฏิบัติงานให้ทันท่วงทีได้นั้น จะถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ได้ จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิด
โจทก์มีสิทธิเรียกค่ารักษาพยาบาลที่ต้องรักษาต่อที่บ้าน ค่าทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า และค่าที่ต้องทนทุกข์เวทนาที่ได้รับจากการละเมิดของจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยากัน โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์ส่วนบุคคลหมายเลขทะเบียน ก.ท.อ-4994 ราคา 170,000 บาทซึ่งโจทก์ที่ 1 ใช้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 3 โจทก์ที่ 1 ขับรถยนต์ดังกล่าวไปตามถนนคลองตัน-หัวหมาก ผ่านข้ามทางรถไฟซึ่งมิได้มีแผงปิดกั้นถนนอันแสดงว่าขบวนรถไฟแล่นผ่านโดยจำเลยที่ 2 ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่จำเลยที่ 1 ขับรถไฟโดยประมาทผ่านมาด้วยความเร็วสูง ไม่หยุดขบวนรถเมื่อไม่ได้รับสัญญาณอนุญาตให้ผ่าน เป็นการฝ่าฝืนกฎข้อบังคับและระเบียบการเดินรถของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นเหตุให้รถไฟขบวนนั้นชนรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 เสียหายทั้งคันซ่อมไม่ได้ เป็นค่าเสียหาย 170,000 บาท โจทก์ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บสาหัส เสียค่ายา ค่ารักษา 15,000 บาท จะต้องเสียเงินทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า 10,000 บาท และได้รับความทุกข์ทรมานจากบาดเจ็บ 20,000 บาท ค่ารถยนต์แท็กซี่ไปทำงาน 10 เดือน เป็นเงิน45,000 บาท รวมค่าเสียหายของโจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 90,000 บาท จำเลยที่ 1ที่ 2 ได้ทำการดังกล่าวในทางการที่จ้างจำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดด้วย ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ที่ 1เป็นเงิน 90,000 บาท ให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 170,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ฯลฯ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความระมัดระวังมิได้ประมาท เหตุเกิดเพราะความประมาทของโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้กระทำการโดยประมาท เหตุเกิดเพราะความประมาทของโจทก์ที่ 1 เป็นเหตุให้รถยนต์นั้นชนกับขบวนรถไฟ ทำให้รถจักรดีเซลของจำเลยเสียหายคิดเป็นเงิน 552 บาทค่าเสียหายของโจทก์ตามฟ้องไม่เป็นความจริง ขอให้ยกฟ้องและให้จำเลยที่ 1ใช้ค่าเสียหาย 552 บาทแก่จำเลยที่ 3 ฯลฯ
โจทก์ที่ 1 ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ที่ 1 มิได้ประมาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1 รวมเป็นเงิน 10,000 บาทและใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 150,000 บาท ฯลฯ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 2 ต่างมีส่วนก่อให้เกิดความประมาทด้วยกัน แต่จำเลยที่ 2 มีส่วนผิดมากกว่า ให้จำเลยที่ 2 รับผิดสามในสี่ส่วน โจทก์ที่ 1 รับผิดหนึ่งในส่วน ส่วนค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสองเหมาะสมแล้ว พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 7,500 บาท แต่ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดเพียง 7,362 บาท(หักเงิน 138 บาท อันเป็นส่วนที่โจทก์ที่ 1 จะต้องชดใช้จำเลยที่ 3 ออกแล้ว)และร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 112,500 บาท ฯลฯ
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วข้อเท็จจริงได้ความว่า บริเวณที่เกิดเหตุมีทางรถไฟตัดผ่านถนนสายคลองตัน-หัวหมาก บริเวณที่ตัดกันนี้มีแผงกั้นถนนของรถไฟ โดยมีจำเลยที่ 2 เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปิดกั้นเมื่อมีขบวนรถไฟแล่นผ่าน ในวันเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ละทิ้งหน้าที่ไป เห็นว่าตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ. 2464 มาตรา 72บังคับไว้ว่า ทางรถไฟผ่านข้ามถนนสำคัญเสมอระดับ ให้ทำประตูหรือขึงโซ่หรือทำราวกั้นขวางถนน ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่โดยตรงของจำเลยที่ 3 ต้องป้องกันภัยในการที่จะเดินรถไฟตัดผ่านถนน การที่จำเลยที่ 2 ไม่นำแผงมาปิดกั้นถนนขณะที่ขบวนรถไฟจะแล่นผ่านจึงเป็นการละเลยไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย ถือได้ว่าเป็นการประมาทอย่างร้ายแรง ถ้าหากจำเลยที่ 2 หรือพนักงานของจำเลยที่ 3 ปิดแผงกั้นถนนตามหน้าที่แล้วรถยนต์โจทก์ที่ 1 ขับก็ไม่อาจผ่านเข้าไปถึงทางรถไฟจนเกิดเหตุนี้ได้ การที่พนักงานของจำเลยที่ 3 ไม่ปิดกั้นเช่นนี้ทำให้ผู้ขับขี่รถยนต์เข้าใจว่าไม่มีขบวนรถไฟแล่นผ่าน กรณีเช่นนี้ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 มีส่วนประมาทมากกว่าโจทก์ที่ 1 ที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าในวันเกิดเหตุพนักงานรถไฟบางส่วนนัดหยุดงานไม่สามารถหาคนมาปฏิบัติงานให้ทันท่วงทีนั้น จะถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัยตามที่จำเลยที่ 3 อ้างไม่ได้ จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิด และศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 มีสิทธิเรียกค่ารักษาพยาบาลที่ต้องรักษาต่อที่บ้าน ค่าทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าและค่าที่ต้องทนทุกข์เวทนาที่ได้รับจากการละเมิดของจำเลยได้ฯลฯ
พิพากษายืน