คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2605/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้ร้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามที่ได้รับการผ่อนผันตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 2 และที่ 6 โดยตามหลักฐานการชำระหนี้มิได้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอทุกเดือนตามกำหนดระยะเวลาแต่ผู้คัดค้านก็ยอมรับชำระหนี้ในลักษณะนี้มาโดยตลอดโดยมิได้ทักท้วงย่อมถือได้ว่าผู้คัดค้านได้สละสิทธิที่จะถือเอาประโยชน์จากเงื่อนเวลาแล้ว ประกอบกับเมื่อผู้ร้องนำเงินมาชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2534 ยังเหลือหนี้ที่ต้องชำระอีก 95,460.45บาท แต่ผู้คัดค้านยังไม่ถือว่าผู้ร้องผิดนัด โดยขยายเวลาให้ผู้ร้องนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระภายในวันที่ 5 มิถุนายน 2534 หากไม่นำมาชำระภายในกำหนดจึงจะถือว่าผิดนัด เมื่อผู้ร้องไม่ได้นำเงินไปชำระหนี้ที่เหลือภายในวันดังกล่าวเช่นนี้ ถือว่าผู้ร้องผิดนัดตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2534 ตามที่กำหนดไว้ หาใช่ผิดนัดเมื่อครบ 3 ปี ตามกำหนดระยะเวลาเดิมตามที่ผู้คัดค้านอนุมัติตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 2 ไม่ มติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 12 ให้ยกเลิกมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 6 ได้ระบุไว้ไม่ให้กระทบถึงลูกหนี้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ผ่อนชำระหนี้ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 6 และอยู่ในระหว่างผ่อนชำระอยู่ แต่เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามที่ตกลงไว้ลูกหนี้ก็ไม่อาจได้รับประโยชน์ในการผ่อนชำระหนี้นั้นตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 6 อยู่อีกต่อไป จึงต้องปฏิบัติตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 12 ข้อ 1.3 วรรคสอง ตอนท้าย โดยจะต้องชำระเงินต้นเต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ยทันทีนับแต่วันที่ยื่นคำร้องขอชำระหนี้นั้น เมื่อผู้ร้องเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิในการผ่อนผันชำระหนี้โดยไม่เสียดอกเบี้ยตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 6จนผ่อนชำระเงินต้นไปรวมทั้งสิ้น 149,600 บาท ยังคงค้างชำระอยู่อีก95,460.45 บาท จึงตกเป็นผู้ผิดนัดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2534ฉะนั้นเงินต้นที่ค้างชำระที่ผู้ร้องจะต้องชำระทันทีตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 12 ดังกล่าว จึงต้องคิด ณ วันที่มติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 12 มีผลบังคับคือวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2534มติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 12 ดังกล่าวไม่ได้กำหนดให้มีผลย้อนหลังไปลบล้างหรือยกเลิกผลการปฏิบัติการชำระหนี้ที่ผู้ร้องได้ปฏิบัติมาแล้ว ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 2 และที่ 6 ก่อนที่จะผิดนัดแต่อย่างใด ผู้ร้องจะต้องชำระหนี้เฉพาะเงินต้นที่ยังคงค้างอยู่จำนวน95,460.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ผู้ร้องผิดนัดอันเป็นเวลาที่ผู้ร้องไม่ได้รับการผ่อนผันอีกต่อไป คือตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2534 ผู้ร้องผิดนัดไม่ชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2534แต่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้ร้องผิดนัดตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2534เมื่อผู้ร้องไม่ได้อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ก็มิได้แก้ไข จึงต้องบังคับไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยถือว่าผู้ร้องผิดนัดตั้งแต่วันที่23 เมษายน 2534

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้ค้ำประกันมีความรับผิดต้องชำระหนี้จำนวน 245,060.45 บาท ต่อผู้คัดค้าน ได้ผ่อนชำระหนี้ไปแล้วจำนวน 149,600 บาท เหลือหนี้อีกจำนวน 95,460.45 บาทผู้ร้องไม่ได้จงใจผิดนัดได้ขออนุมัติต่อผู้คัดค้านเพื่อชำระหนี้ส่วนที่เหลือดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ แต่ผู้คัดค้านไม่อนุมัติกลับขอให้ศาลออกคำบังคับให้ผู้ร้องชำระเงินจำนวน 423,237.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีในต้นเงิน 347,030.11 บาท นับแต่วันที่23 เมษายน 2534 เป็นต้นไปโดยให้ชำระให้เสร็จภายในกำหนดเวลา 30 วันทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายขอให้สั่งกลับคำวินิจฉัยของผู้คัดค้านให้ผู้คัดค้านรับชำระหนี้ตามจำนวนที่ผู้ร้องเสนอ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องขอลดหย่อนหนี้ต่อผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2535 แต่ผู้คัดค้านยกคำร้องของผู้ร้องในวันเดียวกัน ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของผู้คัดค้านต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2535 เกินกำหนดเวลา 14 วันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 146 ผู้ร้องผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลาที่เคยได้รับอนุมัติให้ลดหย่อนหนี้ผู้คัดค้านจึงร้องขอต่อศาลให้ออกคำบังคับ และศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับแล้ว การที่ผู้ร้องขอลดหย่อนหนี้อีก ย่อมเป็นดุลพินิจของผู้คัดค้านที่จะพิจารณาไม่อนุญาตได้ ใช่ว่าจะต้องอนุญาตตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ที่อ้างเสมอไป ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องชำระเงินจำนวน 95,460.45 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี นับแต่วันที่ 23 เมษายน 2534เป็นต้นไปจนถึงวันชำระเงินเสร็จให้แก่ผู้คัดค้านเพื่อนำเข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้ผู้ล้มละลายทันทีที่ทราบคำสั่ง หากไม่ปฏิบัติให้ผู้คัดค้านขอออกคำบังคับใหม่และดำเนินการบังคับคดีไปตามอำนาจหน้าที่
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นผู้ค้ำประกันหม่อมราชวงศ์มณีกัญญา ชมพูนุท ต่อผู้ล้มละลายในมูลหนี้กู้ยืมซึ่งยังค้างชำระอยู่ 245,060.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จ ผู้ร้องขอลดหย่อนหนี้และขอผ่อนชำระ ผู้คัดค้านพิจารณาแล้วอนุมัติตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 2 ให้ผู้ร้องผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือนเดือนละ 6,807.41 บาท โดยไม่คิดดอกเบี้ยและต้องชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่ 20 ตุลาคม2530 เป็นต้นไป ผู้ร้องได้ผ่อนชำระหนี้ครั้งแรกเมื่อวันที่7 มิถุนายน 2531 เป็นต้นมา แต่ไม่ต่อเนื่องกัน ต่อมาได้มีมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2531ให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 2 แต่ไม่กระทบกระทั่งการผ่อนชำระหนี้ของลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระหนี้ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 2 ซึ่งผู้ร้องก็ผ่อนชำระหนี้เรื่อยมา และชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2534รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 149,600 บาท คงเหลือค้างชำระอยู่อีก 95,460.45บาท จากนั้นผู้ร้องไม่ชำระหนี้อีกเลย ต่อมาได้มีการประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2534 ซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้ได้พิจารณาข้อเสนอของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนทรัพย์ จำกัดกรรมการเจ้าหนี้รายที่ 3 แล้ว ลงมติให้เพิกถอนมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 6 ข้อ 1.1 และ 1.2 โดยมีมติใหม่ว่า “ฯลฯ ข้อ 1.3ลูกหนี้อื่นที่ไม่ใช่ลูกหนี้ในเครือและไม่มีหลักประกันจะต้องชำระเงินต้นเต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ยทันทีภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ลูกหนี้ยื่นคำร้องขอชำระหนี้ ให้คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยไม่อนุญาตให้ผ่อนชำระไม่ว่ากรณีใด ๆ ฯลฯและให้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของกรรมการเจ้าหนี้รายที่ 3 ในการพิจารณาลดหย่อนหนี้ให้แก่ลูกหนี้ มติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งนี้ให้มีผลบังคับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปและไม่กระทบกระทั่งถึงสำนวนทวงหนี้และสำนวนสาขาคดีแพ่งตลอดจนสาขาสำนวนอื่นที่ผู้คัดค้านได้ชำระหนี้หรือได้ไถ่ถอนจำนองให้ลูกหนี้จนเสร็จสิ้นแล้ว และไม่กระทบกระทั่งถึงลูกหนี้ที่ผู้คัดค้านได้อนุญาตให้ผ่อนชำระหนี้ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 6 อยู่ และขณะนี้อยู่ระหว่างผ่อนชำระ เว้นแต่ลูกหนี้ดังกล่าวได้ผิดนัดชำระหนี้ตามที่ตกลงกับผู้คัดค้านไว้ หากมาเสนอขอชำระหนี้ใหม่ให้ปฏิบัติตามมติที่ประชุมครั้งนี้ ฯลฯ” ต่อมาผู้คัดค้านได้ขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับลงวันที่ 9 ธันวาคม 2534 ให้ผู้ร้องชำระหนี้จำนวน 423,237.39 บาทพร้อมดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ในต้นเงิน 347,030.11 บาทนับแต่วันที่ 23 เมษายน 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านในประการแรกว่า ผู้ร้องผิดนัดเมื่อใด ผู้คัดค้านอ้างว่าผู้ร้องมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ต่อผู้คัดค้านให้ครบถ้วนภายในกำหนด 3 ปี คือ ภายในวันที่ 20 ตุลาคม2533 ซึ่งเป็นกำหนดเวลาชำระหนี้ของผู้ร้องที่คำนวณได้แน่นอนตามปฏิทิน ถือว่าผู้คัดค้านได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทินแล้ว เมื่อผู้ร้องไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 204 เห็นว่า การที่ผู้ร้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามที่ได้รับการผ่อนผันตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 2 และที่ 6 ตามหลักฐานการชำระหนี้หมาย ร.8 มิได้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอทุกเดือนตามกำหนดระยะเวลาแต่ผู้คัดค้านก็ยอมรับชำระหนี้ในลักษณะนี้มาโดยตลอดโดยมิได้ทักท้วงย่อมถือได้ว่า ผู้คัดค้านได้สละสิทธิที่จะถือเอาประโยชน์จากเงื่อนเวลาแล้ว ประกอบกับในวันที่ผู้ร้องนำเงินมาชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2534 ยังเหลือหนี้ที่ต้องชำระอีก 95,460.45บาท แต่ผู้คัดค้านยังไม่ถือว่าผู้ร้องผิดนัด โดยขยายเวลาให้ผู้ร้องนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระภายในวันที่ 5 มิถุนายน 2534 หากไม่นำมาชำระภายในกำหนดจึงจะถือว่าผิดนัดปรากฏตามรายงานเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกสารหมาย ค.10 เมื่อผู้ร้องไม่ได้นำเงินไปชำระหนี้ที่เหลือภายในวันดังกล่าวเช่นนี้ ถือว่าผู้ร้องผิดนัดตั้งแต่วันที่5 มิถุนายน 2534 ตามที่กำหนดไว้ หาใช่ผิดนัดเมื่อครบ 3 ปี ตามกำหนดระยะเวลาที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้างไม่ ส่วนในปัญหาที่ว่า ผู้ร้องจะต้องชำระหนี้ที่เหลือจำนวน 95,460.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปีนับแต่วันผิดนัดหรือจะต้องชำระหนี้ตามคำบังคับตามเอกสารหมาย ร.1เห็นว่า ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 12 ให้ยกเลิกมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 6 ได้ระบุไว้ไม่ให้กระทบถึงลูกหนี้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ผ่อนชำระหนี้ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 6 และอยู่ในระหว่างผ่อนชำระอยู่ แต่เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามที่ตกลงไว้ ลูกหนี้ก็ไม่อาจได้รับประโยชน์ในการผ่อนชำระหนี้นั้นตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 6 อยู่อีกต่อไป จึงต้องปฏิบัติตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 12 ข้อ 1.3 วรรคสอง ตอนท้าย โดยจะต้องชำระเงินต้นเต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ยทันทีนับแต่วันที่ยื่นคำร้องขอชำระหนี้นั้น ซึ่งกรณีของผู้ร้องเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิในการผ่อนชำระหนี้โดยไม่เสียดอกเบี้ยตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 6จนผ่อนชำระเงินต้นไปรวมทั้งสิ้น 149,600 บาท ยังคงค้างชำระอยู่อีก95,460.45 บาท จึงตกเป็นผู้ผิดนัดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2534ฉะนั้นเงินต้นที่ค้างชำระที่ผู้ร้องจะต้องชำระทันทีตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 12 ดังกล่าว จึงต้องคิด ณ วันที่มติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 12 มีผลบังคับคือวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2534มติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 12 ดังกล่าวไม่ได้กำหนดให้มีผลย้อนหลังไปลบล้างหรือยกเลิกผลการปฏิบัติการชำระหนี้ที่ผู้ร้องได้ปฏิบัติมาแล้ว ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 2 และที่ 6ก่อนที่จะผิดนัดแต่อย่างใด ฉะนั้นผู้ร้องจะต้องชำระหนี้เฉพาะเงินต้นที่ยังคงค้างอยู่จำนวน 95,460.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปีนับแต่วันที่ผู้ร้องผิดนัดอันเป็นเวลาที่ผู้ร้องไม่ได้รับการผ่อนผันอีกต่อไป คือตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2534 แต่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้ร้องผิดนัดตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2534 ผู้ร้องไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาเป็นประการอื่น จึงต้องบังคับไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
พิพากษายืน

Share