คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2603/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีเดิมโจทก์มิได้อ้างบทมาตราในกฎหมายที่ขอให้ริบทรัพย์ของกลาง แต่ศาลชั้นต้นก็มีคำพิพากษาให้ริบของกลางเมื่อคดีเดิมไม่ปรากฏว่ามีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงถึงที่สุดศาลต้องบังคับคดีไปตามนั้น ผู้ร้องมาขอคืนทรัพย์ของกลางในคดีนี้จะมาโต้แย้งในชั้นนี้ว่า คำพิพากษาในคดีเดิมที่ให้ริบทรัพย์ของกลางไม่ชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่

ย่อยาว

กรณีสืบเนืองจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515 และให้ริบรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 87-3443 กรุงเทพมหานครและรถพ่วงหมายเลขทะเบียน 87-4429 กรุงเทพมหานคร ของกลางผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถพ่วงของกลางกับหินแกรนิต จำนวน 2 ก้อนที่บรรทุกในรถพ่วงคันดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นเจ้าของและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย
โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของรถพ่วงของกลางและผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คืนรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน87-3443 กรุงเทพมหานคร แก่ผู้ร้องในอีกคดีหนึ่ง และให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ขอให้คืนรถพ่วงของกลางและหินแกรนิตแก่ผู้ร้องศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดจึงไม่คืนรถพ่วงของกลางแก่ผู้ร้องส่วนหินแกรนิต ศาลชั้นต้นมิได้ริบ จึงไม่วินิจฉัยให้ พิพากษายืนผู้ร้องฎีกาขอให้คืนรถพ่วงของกลางแก่ผู้ร้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่ผู้ร้องนำสืบว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้ร้องได้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 87-3443 กรุงเทพมหานคร พ่วงท้ายรถพ่วงหมายเลขทะเบียน 87-4429 กรุงเทพมหานคร ของผู้ร้องบรรทุกหินแกรนิตจากโกดังสินค้าของผู้ร้องที่จังหวัดตากไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในทางการที่จ้างของผู้ร้อง โดยได้บรรทุกน้ำหนักเกินอัตราตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องมีว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดหรือไม่ผู้ร้องมีนายสมชาย ตั้งก่อเกียรติ ผู้จัดการฝ่ายโรงงานและจำเลยเบิกความมีใจความว่า ก่อนไปบรรทุกหินแกรนิตดังกล่าวนายสมชายได้กำชับจำเลยแล้วว่าให้ระมัดระวังเรื่องบรรทุกน้ำหนักเกินส่วนการไปบรรทุกหินแกรนิตที่โกดังสินค้านั้น มีนายประสาน เหลือแพลูกจ้างผู้ร้องเป็นผู้ควบคุมดูแลการคำนวณน้ำหนักบรรทุกกะประมาณด้วยสายตา ไม่มีเครื่องชั่งไว้สำหรับชั่งน้ำหนัก เห็นว่า การบรรทุกหินแกรนิตดังกล่าวเป็นกิจการของผู้ร้องที่ได้กระทำมานานแล้ว ย่อมจะมีประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าวดี ข้ออ้างที่ว่าได้กะประมาณด้วยสายตาในเมื่อไม่มีเครื่องชั่วไว้สำหรับตรวจสอบน้ำหนัก ก็ปรากฏว่าในคดีเดิมนั้นจำเลยได้บรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ 11,440 กิโลกรัม อันเป็นจำนวนมากเช่นนี้จึงไม่มีเหตุผลควรเชื่อได้ว่ามีการกำชับในเรื่องนี้แล้ว ผู้ร้องจะอ้างว่าไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดได้อย่างไรในเมื่อการบรรทุกหินแกรนิต ดังกล่าวอยู่ในความดูแลของลูกจ้างผู้ร้องมาโดยตลอดซึ่งตามปกติย่อมต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างตามพฤติการณ์แห่งคดี พยานหลักฐานของผู้ร้องยังรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดกรณีจึงไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งคืนรถพ่วงของกลางให้ได้ ที่ผู้ร้องฎีกาว่า คดีเดิมโจทก์มิได้อ้างบทมาตราในกฎหมายที่ขอให้ริบทรัพย์ของกลาง จึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาให้ริบได้ นั้นเห็นว่า เมื่อคดีเดิมไม่ปรากฏว่ามีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงถึงที่สุด ศาลต้องบังคับไปตามนั้นผู้ร้องมาขอคืนทรัพย์ของกลางในคดีนี้จะมาโต้แย้งในชั้นนี้ว่าคำพิพากษาในคดีเดิมที่ให้ริบทรัพย์ของกลางไม่ชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่”
พิพากษายืน

Share