คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2602/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คแทนบริษัท บ. เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายแก่โจทก์แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเนื่องจากจำเลยออกเช็คโดยมีเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น เป็นคำฟ้องที่ได้บรรยายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)เพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้แล้ว ปัญหาที่ว่าเป็นหนี้ค่าอะไรเป็นเพียงรายละเอียดที่จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาโจทก์ไม่จำต้องบรรยายมาในฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายแทนบริษัทบางกอกพร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค จำกัด ให้แก่โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์ได้นำเช็คเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน การกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเหตุเกิดที่ตำบลบางพึ่ง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำคุก 8 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คแทนบริษัทบางกอกพร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค จำกัด เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามที่มีอยู่ตามกฎหมาย เป็นช่องทางให้โจทก์ได้รับประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับ เช่นนี้ ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share