คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2601/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลแรงงานพิพากษาไปตามคำขอบังคับของโจทก์เป็นการปฏิบัติตามที่กฎหมายบังคับแล้ว ส่วนการพิพากษาเกินคำขอนั้น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 52 มิได้บังคับให้ศาลแรงงานจำต้องปฏิบัติแต่ให้อยู่ในดุลพินิจที่จะกระทำได้เมื่อเห็นสมควรเท่านั้น
ค่าน้ำมันรถที่ลูกจ้างจะเบิกได้ต้องมีใบเสร็จไปแสดงและเบิกได้ไม่เกินที่นายจ้างกำหนดไว้ เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานหาใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานไม่ ค่าน้ำมันรถจึงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของค่าจ้าง
ระเบียบของนายจ้างกำหนดว่า “การจ่ายเงินโบนัสจะทำการจ่ายในเดือนธันวาคมของทุก ๆ ปีปฏิทิน ” แสดงว่าลูกจ้างผู้มีสิทธิรับเงินโบนัสจะต้องมีตัวอยู่ในเดือนธันวาคมซึ่งมีการจ่ายโบนัส ด้วยโจทก์ถูกเลิกจ้างก่อนเดือนธันวาคมจึงไม่มีสิทธิรับเงินโบนัส
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้อง ศาลแรงงานกลางสั่งว่า “สำเนาให้จำเลยสั่งในวันนัด” แต่จนกระทั่งมีคำพิพากษาศาลแรงงานกลางก็มิได้มีคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขฟ้อง ทั้งคู่ความก็มิได้แถลงประการใดต่อศาล ดังนี้ จึงมีผลเท่ากับศาลแรงงานกลางมิได้อนุญาตให้โจทก์แก้ไขฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างประจำโดยไม่เป็นธรรมขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน หรือออกใบผ่านงานให้โจทก์พร้อมทั้งจ่ายค่าเสียหายเงินเดือนค้างจ่าย ค่าชดเชย เงินโบนัส เงินสะสมและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ขัดขวางความคิดเห็นและโครงการต่าง ๆของฝ่ายบริหารอยู่ตลอดมา จำเลยจึงจำเป็นต้องเลิกจ้างโจทก์โดยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์แล้ว โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายจากการเลิกจ้าง ไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสและเงินสะสมค่าน้ำมันรถไม่ถือว่าเป็นค่าจ้าง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยที่ยังจ่ายไม่ครบสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินสะสม และดอกเบี้ยแก่โจทก์คำขออื่นให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์รู้เท่าไม่ถึงการณ์เรียกร้องเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด ศาลชอบที่จะพิจารณาพิพากษาตามที่กฎหมายกำหนดมิใช่พิพากษาตามที่โจทก์ขอ เพราะศาลมีอำนาจพิพากษาเกินคำขอได้พิเคราะห์แล้ว พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา ๕๒ บัญญัติเป็นหลักว่า ห้ามมิให้ศาลแรงงานพิพากษาหรือสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องแต่มีข้อยกเว้นว่า ในกรณีที่ศาลแรงงานเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความ จะพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอบังคับก็ได้ ฉะนั้นที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาไปตามคำขอบังคับของโจทก์จึงเป็นการปฏิบัติตามที่กฎหมายบังคับแล้ว ส่วนการพิพากษาเกินคำขอนั้นกฎหมายมิได้บังคับให้ศาลแรงงานจำต้องปฏิบัติ แต่ให้อยู่ในดุลพินิจที่จะกระทำได้เมื่อเห็นสมควรเท่านั้น กรณีนี้ศาลแรงงานกลางอาจเห็นว่าไม่สมควรที่จะพิพากษาเกินคำขอจึงมิได้พิพากษาเช่นนั้น คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางในส่วนนี้จึงชอบแล้ว
โจทก์อุทธรณ์อีกข้อหนึ่งว่าค่าน้ำมันรถที่บริษัทจำเลยจ่ายให้โจทก์แน่นอนเดือนละ ๕,๔๐๐ บาท เป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยจ่ายค่าน้ำมันรถให้โจทก์กิโลเมตรละ ๓.๕๐ บาท และการเบิกต้องมีใบเสร็จไปแสดงทั้งเบิกได้ไม่เกินเดือนละ ๕,๔๒๐ บาท เห็นได้ว่าจำเลยเจตนาจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ไปใช้จ่ายเป็นค่าน้ำมันรถโดยตรง เป็นการใช้จ่ายในการทำงาน หาใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานของโจทก์ไม่ ค่าน้ำมันรถจึงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของค่าจ้าง
โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มีสิทธิรับเงินโบนัสปีละ ๕๐ วันของเงินเดือนฉะนั้นเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ในเดือนมีนาคม ๒๕๒๕ โจทก์ก็ชอบที่จะได้รับเงินโบนัสตามอัตราส่วนที่ควรจะได้คือ ๑/๔ ของเงินโบนัสที่เคยได้รับมาเป็นเงิน ๑๔,๐๑๓ บาท พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าการจ่ายเงินโบนัสนั้นตามคู่มือพนักงาน หมวดที่ ๗ ข้อ ๑ ตอนท้ายมีข้อความว่า “…….การจ่ายเงินโบนัสจะทำการจ่ายในเดือนธันวาคมของทุก ๆ ปีปฏิทิน” แสดงว่าพนักงานผู้มีสิทธิรับเงินโบนัสนั้นนอกจากจะต้องมีอายุการทำงานครบ ๑ ปี ๓ ปี หรือ ๕ ปีตามข้อ ๑ แล้ว จะต้องมีตัวอยู่ในเดือนธันวาคม ซึ่งมีการจ่ายเงินโบนัสด้วยโจทก์ถูกเลิกจ้างเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๒๕ ก่อนเดือนธันวาคมจึงไม่มีสิทธิรับเงินโบนัส
นอกจากนี้ปรากฏตามสำนวนว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๕ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตแล้ว และโจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๕ ขอแก้ฟ้องครั้งที่ ๒ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า “สำเนาให้จำเลยสั่งในวันนัด” ทนายจำเลยลงชื่อรับสำเนาคำร้องไว้แล้ว แต่จนกระทั่งมีคำพิพากษาศาลแรงงานกลางก็มิได้มีคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขฟ้องแต่ประการใด ทั้งคู่ความก็มิได้แถลงประการใดต่อศาล ดังนี้จึงมีผลเท่ากับศาลแรงงานกลางมิได้อนุญาตให้โจทก์แก้ไขฟ้องครั้งที่ ๒ การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินสะสมตามคำขอท้ายฟ้องในคำขอแก้ไขฟ้องฉบับลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๕ เป็นจำนวนสูงกว่าเงินสะสมตามคำขอท้ายฟ้องแก้ไขครั้งที่ ๑ และพิพากษาให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยทั้ง ๆ ที่ตามคำขอท้ายฟ้องในคำร้องขอแก้ไขฟ้องครั้งที่ ๑ โจทก์มิได้ขอให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ย คำพิพากษาศาลแรงงานกลางเกี่ยวกับเรื่องเงินสะสม และดอกเบี้ยจึงเกินคำขอ สมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยที่ยังจ่ายไม่ครบเป็นเงิน ๖,๘๔๐ บาท และเงินสะสม ๕๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์โดยไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share