แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นฝ่ายนำสืบก่อน ขณะจำเลยเบิกความโจทก์มิได้นำเอกสารซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นผู้ทำขึ้นเองมาถามค้านจำเลยไว้เลย เมื่อตัวโจทก์เบิกความถึงและอ้างส่งเอกสารจำเลยก็คัดค้านว่าศาลไม่ควรรับฟังเอกสารฉบับนี้ เพราะโจทก์ไม่ได้ซักค้านในขณะที่จำเลยเข้าเบิกความ จำเลยไม่มีโอกาสอธิบาย ดังนี้ศาลไม่รับฟังเอกสารดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองค้างชำระเงินยืมโจทก์ 759,000 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปีถึงวันฟ้อง ขอศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยรวม 1,048,740 บาทแก่โจทก์จำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว คงค้างชำระเพียง 24,669 บาท กับดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 187,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ย 34,955 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปีนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2523 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีเพียงข้อเดียวว่า จำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์เป็นเงิน 572,000 บาท แล้วหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยทั้งสองชำระหนี้ค่าก่อสร้างแทนโจทก์ ตามคำสั่งของโจทก์ให้นายวิรัตน์ หวังทองธนาเป็นเงิน300,000 บาท มีใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย ล.20 มาแสดงครั้งที่ 2ชำระให้โจทก์เป็นเงิน 272,000 บาท รวมชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์ทั้งสิ้น 572,000 บาท ฝ่ายโจทก์มีนายวิรัตน์ หวังทองธนาและตัวโจทก์เบิกความว่าเงินจำนวน 272,000 บาท ที่จำเลยที่ 2จ่ายให้โจทก์นั้นเป็นเงินค่าแบ่งผลกำไรที่เกิดจากการเข้าหุ้นส่วนก่อสร้างร่วมกันที่เชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ส่วนเงิน300,000 บาท ที่ได้รับจากจำเลยที่ 2 นั้น นายวิรัตน์เบิกความว่าเป็นเงินที่จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ค่าก่อสร้างที่ถนนสาธรที่จำเลยที่ 2 กับนายวิรัตน์เข้าหุ้นส่วนกันทำการก่อสร้างศาลฎีกาเห็นว่าใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย ล.20 มีข้อความว่าเช็ค 2 ฉบับ ซึ่งระบุเลขที่เช็คตรงกับสำเนาภาพถ่ายเช็คเอกสารหมาย ล.21 และ ล.22 นั้น เป็นเช็คที่จ่ายชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์ตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 22 ตุลาคม 2522 และเป็นการชำระค่าก่อสร้างแทนโจทก์ตรงตามข้อนำสืบของจำเลยทั้งสอง นายวิรัตน์ผู้ออกใบเสร็จรับเงินดังกล่าวเองก็ยอมรับว่าลงชื่อในใบเสร็จรับเงินนี้จริง เพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่าลงชื่อโดยไม่มีข้อความดังกล่าวอยู่ ข้ออ้างดังกล่าวของนายวิรัตน์ไม่มีเหตุผลให้รับฟังได้เพราะนายวิรัตน์เป็นผู้ประกอบธุรกิจการค้าซึ่งต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเงินจำนวนมาก ย่อมจะไม่ยอมลงชื่อในกระดาษเปล่าเป็นแน่ จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองชำระหนี้ค่าก่อสร้างให้นายวิรัตน์ 300,000 บาทแทนโจทก์ ส่วนเงินจำนวน 272,000 บาทที่จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์นั้น โจทก์นำสืบตามข้ออ้างของโจทก์โดยส่งเอกสารหมาย จ.18 ซึ่งแสดงผลกำไรของการก่อสร้างอาคารเชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ พยานโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำเอกสารหมาย จ.18 ขึ้นเอง คดีนี้จำเลยเป็นฝ่ายนำสืบก่อน ขณะจำเลยที่ 2 เบิกความโจทก์มิได้นำเอกสารหมาย จ.18 มาถามค้านจำเลยที่ 2 ไว้เลย ครั้นเมื่อตัวโจทก์เบิกความถึงและส่งอ้างเอกสารนี้ก็ปรากฏตามบันทึกของศาลชั้นต้นว่าทนายจำเลยคัดค้านว่าศาลไม่ควรรับฟังเอกสารหมาย จ.18 เพราะทนายโจทก์ไม่ได้ซักค้านในขณะที่จำเลยที่ 2 เข้าเบิกความเกี่ยวกับเอกสารนี้ จำเลยที่ 2ไม่มีโอกาสอธิบาย เมื่อเป็นดังนี้อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 ศาลฎีกาจึงไม่รับฟังเอกสารหมาย จ.18 อนึ่งฝ่ายโจทก์มิได้ถามค้านเมื่อจำเลยที่ 2เบิกความเกี่ยวกับเงินจำนวนนี้ ทั้งนายวิรัตน์พยานโจทก์ก็เบิกความตอบทนายโจทก์ว่าตนได้รับส่วนแบ่งผลกำไรเป็นเช็ค แต่ตอบทนายจำเลยว่าได้รับเป็นเช็คหรือเงินสดจำไม่ได้ ส่วนเอกสารหมาย ล.23 คือสำเนาภาพถ่ายเช็คที่จำเลยส่งอ้างระบุว่าจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นเช็คของจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ร่วมหุ้นในการก่อสร้างกับโจทก์และนายวิรัตน์เช่นนี้ย่อมฟังไม่ได้ว่าเป็นการจ่ายในการแบ่งผลกำไรดังที่โจทก์กล่าวอ้าง พยานจำเลยมีน้ำหนักมากกว่าพยานโจทก์ ฟังได้ว่าเงินจำนวน 272,000 บาท ที่จำเลยทั้งสองชำระให้โจทก์นั้นเป็นการชำระหนี้เงินกู้รายนั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ