แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยภายใน 7 วัน หากไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ ถ้าไม่แถลงให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ต่อมาเจ้าพนักงานศาลรายงานต่อศาลว่าส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยตามภูมิลำเนาจำเลยไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าให้รอโจทก์แถลง แต่โจทก์ก็ไม่ได้แถลงว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งถ้อยคำสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 7 เพื่อพิจารณาสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับกระบวนพิจารณาในเรื่องดังกล่าว แต่กลับพิจารณาพิพากษาคดีไป จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาพิพากษาคดี และกรณีดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ใช้ดุลพินิจไม่จำหน่ายคดีฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์แต่อย่างใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 20,188,265 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 814,133 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 มิถุนายน 2538) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ ต่อมาเจ้าพนักงานศาลรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าเจ้าพนักงานศาลส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยไม่ได้ และโจทก์มิได้แถลงว่าจะดำเนินการอย่างใดภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในคำสั่งที่รับอุทธรณ์ของโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,094,133 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 มิถุนายน 2538) จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 40,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันให้รับอุทธรณ์และให้โจทก์ส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยภายใน 7 วัน หากส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ ถ้าไม่แถลงถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ต่อมาเจ้าพนักงานศาลรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าได้นำหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ไปส่งให้แก่จำเลยตามภูมิลำเนาของจำเลยแล้วปรากฏว่าส่งไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าให้รอโจทก์แถลง แต่โจทก์ไม่มาแถลงว่าจะดำเนินการอย่างใดต่อไปภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ส่งถ้อยคำสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 7 เพื่อพิจารณาสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ชอบที่จะมีคำสั่งเกี่ยวกับกระบวนพิจารณาในเรื่องดังกล่าวเสียก่อน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำพิพากษาวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ของโจทก์ไปโดยมิได้มีคำสั่งในเรื่องเช่นว่านั้นก่อน จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (1) ประกอบด้วยมาตรา 247 และที่โจทก์แก้ฎีกาว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์โดยคำพิพากษาเช่นนี้ แสดงว่าศาลอุทธรณ์ภาค 7 มิได้ใช้ดุลพินิจจำหน่ายคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 132 จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 จะพิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีไปตามมาตรา 133 นั้น เห็นว่า การที่ศาลจะใช้ดุลพินิจในการดำเนินกระบวนพิจารณาใด จะต้องปรากฏว่าการใช้ดุลพินิจนั้นเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์โดยมิได้พิจารณาและมีคำสั่งในเรื่องที่ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมาเพื่อพิจารณาสั่งถึงพฤติการณ์ของโจทก์ที่อาจถือว่าทิ้งฟ้องอุทธรณ์ การดำเนินกระบวนพิจารณาชี้ขาดอุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กระทำไปจึงเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มิได้ปฏิบัติไปตามลำดับของกระบวนพิจารณา อันเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุที่จะถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 7 ใช้ดุลพินิจไม่จำหน่ายคดีฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ออกเสียจากสารบบความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 133 ดังที่โจทก์แก้ฎีกา
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาในเรื่องที่โจทก์มิได้แถลงเพื่อดำเนินอย่างไรในกรณีที่ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยไม่ได้ แล้วให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งและคำพิพากษาไปตามกระบวนพิจารณา ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.