แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมและคำขอบังคับท้ายฟ้องโจทก์มิได้ขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมโจทก์เพียงแต่ขอให้จำเลยทั้งสองถอนเสาไม้แก่นและต้นมะพร้าวที่จำเลยทั้งสองนำมาปลูกและปักเอาไว้ทั้งหมดออกไปให้พ้นจากช่องทางเข้าออกบ้านโจทก์และทำที่ดินตรงนั้นให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยคดีจึงไม่มีประเด็นว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นสามีภริยา โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นทายาทผู้รับมรดกของนายหาด หงษ์โตซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 4132 ตำบลบางแม่หม้าย อำเภอบางปลาม้าจังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ 2 ไร่ ซึ่งที่ดินดังกล่าวได้แบ่งการครอบครองเป็นสัดส่วนเป็นเวลานานเกินกว่า 10 ปีแล้ว โดยโจทก์และบริวารปลูกบ้านอยู่ทางทิศตะวันออก จำเลยที่ 1 ปลูกบ้านอยู่ทางทิศตะวันตกมีถนนกว้าง 1 วาครึ่ง ยาวประมาณ 3 เส้น ผ่ากลางที่ระหว่างโจทก์จำเลยจากทิศเหนือไปทางทิศใต้ โจทก์จำเลยทั้งสองและบริวารรวมทั้งทายาทอื่นกับบุคคลภายนอกต่างใช้ถนนดังกล่าวออกสู่ทางสาธารณะเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 50 ปีแล้ว ซึ่งไม่มีผู้ใดหวงห้าม ต่อมาวันที่ 5 มิถุนายน 2533 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำต้นมะพร้าวสูง 1 วา จำนวน 1 ต้นมาปลูก และยังได้นำเสาไม้แก่นจำนวน 4 ต้น มาปักไว้ขวางช่องทางเข้าบ้านโจทก์ กว้างประมาณ 3 วาทั้งนี้โดยเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์และบริวารนำรถไถนา รถเมล์รับจ้างเข้าออกจากบ้านของโจทก์ไปสู่ถนนสาธารณะได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนเสาไม้แก่นและต้นมะพร้าวที่จำเลยทั้งสองนำมาปลูกและปักไว้ทั้งหมดออกไปให้พ้นจากช่องทางเข้าออกบ้านของโจทก์ พร้อมทั้งทำให้ที่ดินอยู่ในสภาพเรียบร้อย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ทางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งสองโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้นางบุญเรือง ยุพาพิน ฟ้องคดีนี้ลายมือชื่อของโจทก์ในใบมอบอำนาจเป็นลายมือปลอม โจทก์ไม่ใช่ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่โจทก์อ้างในฟ้อง เพราะการครอบครองที่ดินดังกล่าวโจทก์ครอบครองแทนเนื่องจากโจทก์ไม่ใช่ทายาทของนายหาด โจทก์จึงไม่ได้ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ จำเลยทั้งสองใช้ทางพิพาทเข้าออกเฉพาะจำเลยกับพวกเท่านั้น โจทก์ใช้ทางเส้นอื่นเข้าออกบ้านโจทก์เป็นประจำ ต้นมะพร้าวและเสาไม้แก่นที่จำเลยนำมาปักอยู่ในที่ดินของจำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนเสาไม้แก่นออกไปให้พ้นช่องทางเข้าออกบ้านของโจทก์เพื่อให้โจทก์และบริวารเข้าออกได้โดยสะดวก
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 4132 ตำบลบางแม่หม้าย อำเภอบางปลาม้าจังหวัดสุพรรณบุรี เดิมเป็นของนายหาด หงษ์โต หลังจากนายหาดได้ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ จำเลยทั้งสองและทายาทของนายหาดได้ครอบครองปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวมานานเกินกว่า 10 ปีแล้ว ทิศเหนือของที่ดินจดคลองบางแม่หม้าย ส่วนทิศใต้จดถนนสาธารณะที่ดินโฉนดนี้มีทางจากคลองบางแม่หม้ายไปยังถนนสาธารณะทางหนึ่งคือทางพิพาท ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกผ่านหน้าบ้านจำเลยทั้งสองและบ้านผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ กับบ้านคนอื่น ส่วนอีกทางหนึ่งผ่านหน้าบ้านนางประจวบ อ่อนละมูล บ้านโจทก์และบ้านผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2533 จำเลยทั้งสองได้นำต้นมะพร้าวมาปลูกที่ริมทางพิพาทซึ่งต่อกับที่ดินโจทก์ 1 ต้น และนำเสาไม้แก่นมาปักขวางช่องทางที่โจทก์จะเดินจากที่โจทก์ออกสู่ทางพิพาท โดยมีความประสงค์ที่จะไม่ให้โจทก์นำรถยนต์ผ่านช่องทางดังกล่าวเพื่อออกสู่ทางพิพาท แต่ต้นมะพร้าวตายไปแล้ว โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม และคำขอบังคับท้ายฟ้องโจทก์มิได้ขอให้พิพากษาว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม โจทก์เพียงแต่ขอให้จำเลยทั้งสองถอนเสาไม้แก่นและต้นมะพร้าวที่จำเลยทั้งสองนำมาปลูกและปักเอาไว้ทั้งหมดออกไปให้พ้นจากช่องทางเข้าออกบ้านโจทก์และทำที่ดินตรงนั้นให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย คดีจึงไม่มีประเด็นว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ชอบ คงมีปัญหาเพียงว่าการที่จำเลยทั้งสองปลูกต้นมะพร้าวและปักเสาไม้แก่นขวางทางดังกล่าวนั้นเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์และต้องรื้อถอนสิ่งที่ทำไว้นั้นออกไปหรือไม่ ประเด็นนี้แม้ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยมา แต่ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์จำเลยเพียงพอแก่การวินิจฉัยแล้วศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยไปเลยทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา243(3) ประกอบกับมาตรา 247 และศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าญาติของนายหาดต่างมีสิทธิใช้ทางพิพาทรวมทั้งโจทก์ด้วยและตรงจุดที่จำเลยทั้งสองทำรั้วปิดกั้นได้เปิดเป็นทางให้เดินผ่านกันมานานและเป็นจุดที่ที่ดินส่วนของโจทก์ต่อเชื่อมทางพิพาท ตามภาพถ่ายที่ 24 ถึง 27 ที่โจทก์ส่งในวันเดินเผชิญสืบ จำเลยทั้งสองปิดกั้นเป็นรั้วไม่ให้โจทก์และบริวารเข้าออกจึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับให้รื้อถอนรั้วที่จำเลยทั้งสองปิดกั้นนั้นออกเสียได้
พิพากษายืน