คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขุดคูเพื่อชักน้ำจากคลองใช้ทำสวน โจทก์ทำสวนในที่ดินแม่ยายและได้ขุดคูชักน้ำใช้ทำสวนต่อจากคูที่จำเลยขุดไว้ แล้วโจทก์ถือวิสาสะใช้เรือยนต์บรรทุกอุปกรณ์ในการทำสวนมีเครื่องสูบน้ำเป็นต้นผ่านคูที่จำเลยขุดเข้าไปในที่ดินที่โจทก์ทำสวนโดยไม่ขออนุญาตจากจำเลย ในหน้าน้ำจำเลยปักไม้ไผ่ขวางคูนั้นเพื่อป้องกันคนร้ายนำเรือยนต์ผ่านคูที่จำเลยขุดมาขโมยผลไม้ในสวนของจำเลย โจทก์นำเรือยนต์บรรทุกเครื่องยนต์เข้าไปสูบน้ำที่ท่วมในสวนของโจทก์ไม่ได้ ทำให้สวนของโจทก์ถูกน้ำท่วมเสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิในทรัพย์สินของจำเลยไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้ง จึงไม่เป็นการละเมิด และไม่ใช่กรณีที่จำเลยใช้สิทธิไม่สุจริตในอสังหาริมทรัพย์ทำให้โจทก์เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มีที่ดินติดต่อกับที่ดินที่จำเลยที่ 3ครอบครองทางด้านตะวันออก ตรงเขตติดต่อกันนี้ มีคูน้ำไปจนสุดเขตที่ดิน และจดที่ดินของแม่ยายโจทก์ แม่ยายโจทก์ได้ขุดคูต่อผ่านที่ดินของตนเพื่อประโยชน์ในการทำสวนและได้ตกลงกันด้วยวาจาว่า ใช้คูนี้เป็นทางระบายน้ำร่วมกัน ในเดือนมีนาคม 2516 โจทก์ทำสวนดอกไม้เยียเบอร่าในที่ดินของแม่ยายเต็มเนื้อที่6 ไร่ ต่อมาเดือนมิถุนายน 2517 จำเลยทั้งสามร่วมกันนำไม้มาปักปิดกั้นคูไม่ยอมให้โจทก์นำเรือผ่านโดยเจตนาจะให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยจำเลยทราบดีแล้วว่า ถ้าฝนตกมากน้ำจะท่วมสวน หรือฝนไม่ตกนานน้ำในสวนแห้ง โจทก์จำต้องนำเครื่องสูบน้ำบรรทุกเรือเข้าไปสูบน้ำเข้าออก ในเดือนตุลาคม 2517ฝนตกมากน้ำท่วมสวนโจทก์ จำเลยไม่ยอมให้โจทก์นำเรือบรรทุกเครื่องสูบน้ำผ่านคู ต้นไม้ของโจทก์ตายหมดเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายจึงขอให้จำเลยทั้งสามให้เปิดคูให้โจทก์ใช้ และร่วมกันใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันขุดคูเพื่อใช้น้ำในการทำสวน ขุดเสร็จในปลายปี 2515 ต่อมาในปี พ.ศ. 2516 โจทก์ขุดคูต่อเข้าที่ดินของแม่ยายโจทก์เพื่อประโยชน์ในการทำสวนของโจทก์ จำเลยไม่เคยยอมให้ผู้ใดนำเรือผ่านเว้นแต่จำเลยที่ 3 ยอมให้โจทก์ใช้เรือพายผ่านได้ คนร้ายใช้เรือยนต์เข้ามาลักเอาพืชผลของจำเลยอยู่เสมอ จึงได้เอาไม้ปักเป็นระยะห่าง 1 คืบ ครึ่งคู เรือพายที่ใช้ในท้องถิ่นผ่านเข้าออกได้ จำเลยไม่มีเจตนากลั่นแกล้งผู้ใด โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนไม้ที่ปัก โจทก์ปล่อยปละละเลยไม่จัดการตบแต่งคันดิน น้ำจึงท่วม เป็นความผิดของโจทก์เอง จำเลยไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามครอบครองที่ดินอยู่ทางทิศใต้ของที่ดินแม่ยายโจทก์ที่โจทก์ครอบครองทำสวนดอกเยียเบอร่าระหว่างที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งอยู่ติดต่อกัน จำเลยได้ขุดคูพิพาทเพื่อชักน้ำจากคลองบางนาที่อยู่ทางทิศใต้ที่ดินจำเลยที่ 3 ใช้ทำสวน คูกว้าง 1 วาลึก 2 ศอก ขุดเมื่อประมาณปี 2514 – 2515 ต่อมาโจทก์ได้เข้าทำสวนในที่ดินที่อยู่เหนือที่ดินจำเลย และเมื่อปี 2516 โจทก์ได้ขุดคูชักน้ำใช้ทำสวนต่อจากคูที่จำเลยขุดไว้แล้วโจทก์ถือวิสาสะใช้เรือยนต์บรรทุกอุปกรณ์ในการทำสวนมีเครื่องสูบน้ำเป็นต้น ผ่านคูที่จำเลยขุดเข้าไปในที่ดินที่โจทก์ทำสวนโดยไม่ขออนุญาตในหน้าน้ำปี พ.ศ. 2517 จำเลยได้ปักไม้ไผ่ขวางคูนั้นเพื่อป้องกันคนร้ายนำเรือยนต์ผ่านคูที่จำเลยขุดมาขโมยผลไม้ในสวนของจำเลย โจทก์นำเรือยนต์บรรทุกเครื่องยนต์เข้าไปสูบน้ำที่ท่วมในสวนดอกไม้ของโจทก์ไม่ได้ทำให้ไม้ดอกเยียเบอร่าของโจทก์ตายเพราะน้ำท่วมนั้น เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิในทรัพย์สินของจำเลย ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์จึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ และไม่ใช่กรณีที่จำเลยใช้สิทธิไม่สุจริตในอสังหาริมทรัพย์ ทำให้โจทก์เสียหายตามฎีกาโจทก์ไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

พิพากษายืน

Share