แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของ ส. ในระหว่างสมรสเมื่อพ.ศ. 2508 มารดาจำเลยยกที่ดินซึ่งเป็นส่วนของตนตามโฉนดที่พิพาทให้แก่จำเลยโดยไม่ระบุว่าให้เป็นสินส่วนตัว ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับ ส. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เดิม มาตรา 1464 และมาตรา 1466 แม้ต่อมาบทบัญญัติบรรพ 5ที่ได้ตรวจชำระใหม่ มาตรา 1471 และมาตรา 1474 จะบัญญัติแตกต่างจากบทบัญญัติบรรพ 5 เดิม ก็ไม่ทำให้ที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสอยู่แต่เดิมเปลี่ยนเป็นสินส่วนตัวของจำเลย เพราะกฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่ได้บัญญัติให้เปลี่ยนแปลงไปดังกรณีสินเดิม ส.จึงมีอำนาจทำพินัยกรรมยกที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1481
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นทายาทของนายสิน เรืองศรีผู้ตาย โจทก์ที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายตามคำสั่งศาล ผู้ตายมีภรรยา 2 คน และจำเลยเป็นภรรยาคนหนึ่งของผู้ตาย ขณะมีชีวิตผู้ตายมีทรัพย์สินคือที่ดินโฉนดพิพาท เนื้อที่ 3 ไร่ 41 วา โดยมีชื่อในโฉนด 3 คน ซึ่งรวมถึงจำเลยด้วย เดิมที่ดินแปลงนี้เป็นของนางต่วน บุญยัง ต่อมาเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2508 นางต่วนบุญยัง ยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้มีชื่อในโฉนดทั้งสามโดยจำเลยได้545 ตารางวาเศษ การยกให้มิได้ระบุว่าเป็นสินเดิมหรือสินส่วนตัวขณะนั้นจำเลยเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ส่วนของจำเลยจึงเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ตาย ต่อมาเมื่อผู้ตายถึงแก่กรรมปรากฏว่าผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้แก่โจทก์ทั้งสอง แต่จำเลยไม่ยอมส่งมอบโฉนดที่ดินและแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ทั้งสองเป็นจำนวน 272.5 ตารางวาหากจำเลยไม่แบ่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นภรรยานายสิน เรืองศรี จริง แต่ที่ดินตามฟ้องจำเลยได้รับยกให้จากมารดา โดยมิได้ระบุให้เป็นสินสมรสจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลย ไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนายสิน เรืองศรีที่จะทำพินัยกรรมยกให้โจทก์ ทั้งจำเลยไม่ได้เก็บรักษาโฉนดที่ดินพิพาทไว้ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลย นายสิน เรืองศรี บิดาโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาที่ดินพิพาท พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 11878 ตำบลบางข่าอำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ให้โจทก์ทั้งสองเพื่อไปดำเนินการใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยเท่ากับส่วนของนายสินผู้ตาย คือจำนวน 272.5 ตารางวาตามฟ้อง และให้จำเลยแบ่งส่วนที่เป็นของโจทก์ทั้งสองให้แก่โจทก์ทั้งสอง ถ้าแบ่งกันเองไม่ได้ให้ประมูลระหว่างกันเองหรือขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายสิน เรืองศรี โดยจดทะเบียนสมรสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2487 ระหว่างสมรสนางต่วน บุญยัง มารดาของจำเลยยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนตามโฉนดที่ดินเลขที่ 11878 ตามเอกสารหมาย จ.2ให้แก่จำเลยจำนวนเนื้อที่ 545 ตารางวาเศษ เมื่อวันที่ 9 กันยายน2508 โดยไม่ระบุว่ายกให้เป็นสินส่วนตัว ต่อมานายสินทำพินัยกรรมยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสอง มีปัญหาว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสหรือไม่ และนายสินทำพินัยกรรมยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสองได้หรือไม่ เห็นว่าขณะที่มารดาจำเลยยกที่ดินให้แก่จำเลยนั้นเป็นเวลาที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิมยังใช้บังคับอยู่ โดยมีมาตรา 1464 บัญญัติไว้ว่า “สินส่วนตัวได้แก่
(1) ……….
(2) ……….
(3) ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างเป็นสามีภรรยาโดยทางพินัยกรรมหรือยกให้โดยเสน่หา เมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้นั้นแสดงไว้ให้เป็นสินส่วนตัว” และมาตรา 1466 บัญญัติว่า”สินสมรสได้แก่ ทรัพย์สินทั้งหมดที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรสนอกจากที่ได้ระบุไว้ว่าเป็นสินเดิมหรือสินส่วนตัวตามมาตรา 1463 หรือ1464″ ดังนั้นที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนายสินตามบทกฎหมายดังกล่าว แม้ต่อมาวันที่ 16 ตุลาคม 2519 มีบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ ใช้บังคับและมีมาตรา 1471 บัญญัติไว้ว่า “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน
(1) ……….
(2) ……….
(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา…” และมาตรา 1474 บัญญัติว่า “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน
(1) ……….
(2) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือโดยการให้เป็นหนังสือ เมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ระบุว่าเป็นสินสมรส
(3) ………………………………………….”แม้บทบัญญัติบรรพ 5 ใหม่จะแตกต่างจากบทบัญญัติบรรพ 5 เดิมก็ตามก็ไม่ทำให้ที่พิพาทซึ่งเป็นสินสมรสอยู่แต่เดิมเปลี่ยนเป็นสินส่วนตัวของจำเลย เพราะกฎหมายใหม่ไม่ได้บัญญัติให้เปลี่ยนแปลงไปดังกรณีสินเดิม นายสินจึงมีอำนาจทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ทั้งสองได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1481 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน