คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา ป.วิ.พ. มาตรา 264 จะต้องเป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันในคดีนั้น ได้รับความคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา คดีนี้ตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยพิพาทกันในประเด็นที่ว่า จำเลยผิดสัญญาเช่าหรือไม่ และโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเช่าใหม่ภายหลังสัญญาเช่าเดิมสิ้นสุดลงหรือไม่ แต่ประโยชน์ที่จำเลยขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาเป็นเรื่องที่จำเลยอ้างว่าโจทก์กระทำละเมิดขัดขวางมิให้จำเลยใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่า ไม่ใช่ประโยชน์ที่เกี่ยวกับข้อต่อสู้หรือข้อเถียงตามคำให้การของจำเลย คำขอคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนกองดินและกำแพงซีเมนต์ออกจากทางเข้าออกที่ดินพิพาท หรือให้โจทก์ถมทางที่ขุดหลุมไว้ปิดกั้นมิให้จำเลยออกสู่ถนนหลวงจึงเป็นการขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์นอกขอบเขตตามคำให้การของจำเลยจึงไม่ใช่การขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา จึงไม่ใช่การคุ้มครองประโยชน์เพื่อบังคับตามคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 264

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจกาศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากไปที่ดินและบังกะโลของโจทก์ โดยให้จำเลยรื้อถอนบังกะโลจำนวน 14 หลังที่จำเลยสร้างเพิ่มเติมบนที่ดินของโจทก์และทำให้ที่ดินอย่ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่วันครบกำหนดสัญญาเช่าที่ดินและบังกะโล (วันที่ 14 ธันวาคม 2543) ในอัตราเดือนละ 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่เช่า กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท จำเลยอุทธรณ์และได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์
จำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวก่อนศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาว่า เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 โจทก์ได้นำหินและดินไปกองปิดทางเข้าออกบังกะโลที่จำเลยเช่าจากโจทก์ และปักหลักทำรั้วลวดหนามทางเข้าออกที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์และตัดสายไฟฟ้าที่ได้ใช้ระหว่างการเช่าที่ดินและบังกะโลจากโจทก์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่มีอำนาจ ทำให้จำเลยเดือดร้อนไม่สามารถนำยานพาหนะออกจากที่ดินพิพาทและไม่มีไฟฟ้าใช้ ขอให้มีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนกองดินและกำแพงซีเมนต์ออกจากทางเข้าออกที่ดินพิพาท กับให้โจทก์ถมทางที่ขุดหลุมไว้ปิดกั้นมิให้จำเลยออกสู่ถนนหลวง โจทก์ยื่นคำคัดค้านคำร้อง
ศาลอุทรณ์ภาค 8 มีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาของจำเลยที่ว่า มีเหตุสมควรที่จำเลยจะได้รับการคุ้มครองประโยน์ชั่วคราวในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยให้โจทก์รื้อถอนกองดินและกำแพงซีเมนต์ออกจากทางเข้าออกที่ดินพิพาท กับให้โจทก์ถมทางที่ขุดหลุมไว้ปิดกั้นมิให้จำเลยออกสู่ถนนหลวงหรือไม่ เห็นว่า การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 จะต้องเป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่พิพาทกันในคดีนั้นได้รับความคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้คำพิพากษาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา คดีนี้ตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยพิพาทกันในประเด็นที่ว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าหรือไม่ และโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเช่าใหม่ภายหลังสัญญาเช่าเดิมสิ้นสุดหรือไม่ แต่ประโยชน์ที่จำเลยขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกระทำของโจทก์ที่นำหินและดินไปกองปิดทางเข้าออกบังกะโลที่จำเลยเช่าจากโจทก์ และที่โจทก์ปักหลักทำรั้วลวดหนามขวางทางเข้าออกที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์และตัดสายไฟฟ้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่า เป็นเรื่องที่จำเลยอ้างว่าโจทก์กระทำละเมิดขัดขวางมิให้จำเลยใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่า ไม่ใช่ประโยชน์ในเรื่องที่เกียวกับข้อต่อสู้หรือข้อเถียงตามคำให้การของจเลย คำขอคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนกองดินและกำแพงซีเมนต์ออกจากทางเข้าออกที่ดินพิพาทก็ดี หรือให้โจทก์ถมทางขุดหลุมไว้ปิดกั้นมิให้จำเลยออกสู่ถนนหลวงก็ดี จึงเป็นการขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์นอกขอบเขตตามคำให้การของจำเลย มิใช่เป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา ทั้งจำเลยมิได้ฟ้องแย้งประการใด จึงมิใช่การขอคุ้มครองประโยชน์เพื่อบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ไม่ชอบที่จำเลยจะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ในคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ยกคำร้องของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share