คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2578/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คดีก่อนเป็นคดีที่จำเลยฟ้องขอให้โจทก์ถอนคำคัดค้านการรังวัดที่ดินพิพาทแต่การวินิจฉัยคดีก่อนนั้นศาลต้องวินิจฉัยด้วยว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อศาลได้วินิจฉัยโดยปริยายแล้วว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองการที่โจทก์มาฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าเป็นของโจทก์และจำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยจึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อนเมื่อเป็นคู่ความรายเดียวกันและคดีก่อนถึงที่สุดแล้วฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดิน ส.ค.1เลขที่ 421 หมู่ที่ 7 ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกสร้างเพิงและเอาเสาปูนมาล้อมเขตที่ดินดังกล่าวด้วยเจตนาจะแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์พร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและเสาปูนออกไป และห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นของจำเลย โจทก์ได้สละการครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยขายให้แก่นางกิตติวรรณ วัชรานนท์แล้ว จำเลยซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากนางกิตติวรรณและครอบครองเป็นเจ้าของจนกระทั่งได้ไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ทะเบียนเลขที่ 62 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ
โจทก์ ฎีกา โดย ได้รับ อนุญาต ให้ ฎีกา อย่าง คนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า แม้คดีก่อนเป็นคดีที่จำเลยในคดีนี้ฟ้องขอให้โจทก์ในคดีนี้ถอนคำคัดค้านการรังวัดที่ดินพิพาทของจำเลยในคดีนี้ก็ตาม แต่ในการวินิจฉัยคดีก่อนนั้นศาลย่อมต้องวินิจฉัยด้วยว่า โจทก์หรือจำเลยในคดีนี้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งปรากฏว่าศาลได้วินิจฉัยในคดีก่อนโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยในคดีนี้ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากนางกิตติวรรณ วัชรานนท์และโจทก์ในคดีนี้ได้ทำบันทึกถ้อยคำไว้เป็นหลักฐานว่า โจทก์ในคดีนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทเพราะได้ขายให้แก่นางกิตติวรรณแล้ว โจทก์ในคดีนี้ไม่คัดค้านและยินยอมให้จำเลยในคดีนี้ดำเนินการขอรังวัดออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เมื่อจำเลยในคดีนี้ได้ยื่นเรื่องราวขอทำการรังวัดและโจทก์ในคดีนี้คัดค้าน จำเลยในคดีนี้มีสิทธิฟ้องขอให้บังคับโจทก์ในคดีนี้ถอนคำคัดค้านหรือถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ในคดีนี้ได้จึงเป็นการที่ศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยปริยายแล้วว่า จำเลยในคดีนี้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้โดยบรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกสร้างเพิงและเอาเสาปูนมาล้อมเขตที่ดินดังกล่าวด้วยเจตนาจะแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์พร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและเสาปูนออกไปกับห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไปและจำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นของจำเลย คดีนี้จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับประเด็นในคดีก่อนว่า โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ดังนั้นเมื่อคดีก่อนได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว โดยโจทก์และจำเลยในคดีนี้ก็คือโจทก์และจำเลยในคดีดังกล่าวและประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้ก็จะต้องอาศัยเหตุอย่างเดียวกับเหตุในคดีก่อน ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องของจำเลยในคดีก่อน ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
พิพากษายืน

Share