คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2578/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โจทก์นำคดีไปสู่ศาลแรงงาน ศาลแรงงานวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมและพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้างคำขออื่นให้ยก คำพิพากษาของศาลแรงงานดังกล่าวแม้มิได้กำหนดให้นับอายุงานต่อเนื่องไว้แต่ตามผลและรูปคดีที่ศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานดังกล่าว ย่อมแสดงว่าเป็นการสั่งให้รับลูกจ้างกลับเข้าทำงานต่อไปในฐานะเดิมก่อนการเลิกจ้าง การนับอายุงานจึงต้องนับต่อเนื่องจากอายุงานเดิม มิใช่เริ่มนับอายุงานใหม่หลังจากที่จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน เมื่อจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานแล้ว ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์อีกครั้งด้วยเหตุละทิ้งหน้าที่ตามรายงานลับของพนักงานของจำเลยคนหนึ่ง ซึ่งกล่าวว่าโจทก์ไม่อยู่ปฏิบัติงานที่โต๊ะทำงานแต่ปรากฏว่าเวลาส่วนใหญ่ที่โจทก์ไม่อยู่ปฏิบัติงานที่โต๊ะทำงานนั้นเป็นระหว่างเวลา 11 นาฬิกาเศษ และ 13 นาฬิกา และตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยระบุว่า “ให้พนักงานหยุดพักได้วันละ1 ชั่วโมง ระหว่างเวลา 11.30-13.30 น.” การที่โจทก์ไม่อยู่ปฏิบัติงานที่โต๊ะทำงานจึงเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เมื่อพิจารณาประกอบกับวินัยพนักงานที่เกี่ยวกับการละทิ้งหน้าที่ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยซึ่งระบุว่า “พนักงานต้องไม่ละทิ้งหน้าที่ของตน หรือขาดงานหรือไม่ปฏิบัติงานเป็นเวลา 3 วัน ทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร” แล้ว โจทก์มิได้กระทำผิดวินัยพนักงานตามข้อดังกล่าว จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุเพียงเท่าที่ปรากฏในรายงานลับจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์ไม่อยู่ที่โต๊ะทำงานย่อมถือได้ว่าโจทก์ละทิ้งการงานไปเสียตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า คดีเดิมโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2533โดยไม่เป็นธรรมและมีคำขอบังคับให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานหากศาลเห็นว่าโจทก์ไม่อาจทำงานร่วมกับจำเลยได้ขอให้ศาลกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายและเงินต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเลิกจ้างรวมทั้งเงินสะสมจำนวน 68,312.24 บาท ด้วย ศาลแรงงานวินิจฉัยประเด็นที่เกี่ยวกับข้อหาการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม และพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้าง โดยมิได้วินิจฉัยประเด็นที่เกี่ยวกับเงินสะสมแต่อย่างใด โจทก์มาฟ้องคดีใหม่ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2534 โดยไม่เป็นธรรมและมีคำขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายและจ่ายเงินต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเลิกจ้างรวมทั้งเงินสะสมจำนวน 125,274.33 บาท ด้วยคำฟ้องในส่วนของเงินสะสมคดีหลังจึงอาศัยเหตุเลิกจ้างคนละคราวกับคดีก่อน และยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดที่ศาลได้วินิจฉัยไว้โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2534 จำเลยเลิกจ้างโดยกล่าวหาว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบวินัยของจำเลยด้วยการละทิ้งหน้าที่ซึ่งโจทก์มิได้ทำตามที่กล่าวหา จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี เงินสะสม เงินบำเหน็จและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม รวม 6,170,936.91 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ระหว่างวันที่ 9 มีนาคม 2533 ถึงวันที่2 พฤษภาคม 2534 โจทก์พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของจำเลยโดยจำเลยเลิกจ้างแล้ว โจทก์จึงไม่อาจนำระยะเวลาช่วงดังกล่าวมานับต่อจากช่วงเวลาทำงานตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2534 ได้ ในระหว่างเวลาทำงานโจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นประจำเป็นการกระทำผิดระเบียบวินัยข้อบังคับของจำเลย โจทก์ขัดขืนคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่สั่งโดยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายเงินใด ๆการที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินสะสมเป็นฟ้องซ้ำ โจทก์กลับเข้าทำงานได้ไม่ครบหนึ่งปีไม่มีสิทธิลาพักผ่อน เงินบำเหน็จนั้นจำเลยออกระเบียบข้อบังคับเปลี่ยนแปลงระบบเงินสะสมมาเป็นระบบบำเหน็จ เมื่อโจทก์พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของจำเลยแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มิได้เคยถูกตักเตือนเป็นหนังสือในเรื่องการละทิ้งหน้าที่ แม้ว่าโจทก์จะไม่อยู่ปฏิบัติงานที่โต๊ะทำงานตามรายงานลับฉบับลงวันที่ 1 ตุลาคม 2534การกระทำของโจทก์ก็ไม่เป็นการละทิ้งหน้าที่อันเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม คำฟ้องในส่วนของเงินสะสมไม่เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 45,600 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 12,667 บาท เงินสะสมเป็นเงิน 75,868 บาทค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นเงิน 3,546.66 บาทค่าเสียหายจากการเลิกจ้างเป็นเงิน 125,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ได้ละทิ้งหน้าที่หลายครั้งตามเอกสารหมาย ล.22 จำเลยจึงมีเหตุอันสมควรที่จะเลิกจ้างโจทก์ได้มิใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมนั้น เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาได้ความว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยเข้าทำงานเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2517 โจทก์ถูกเลิกจ้างครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2533 โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลแรงงานกลางศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยนักวิจัย ฝ่ายการพนักงานและเลิกจ้างโจทก์อีกครั้งเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2534 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุโจทก์ละทิ้งหน้าที่ตามรายงานลับของนายประพันธ์สวนอุดมสุข ซึ่งกล่าวว่าโจทก์ไม่อยู่ปฏิบัติงานที่โต๊ะทำงานแต่ปรากฏจากรายงานลับของนายประพันธ์ สวนอุดมสุข เอกสารหมาย ล.22ว่า เวลาส่วนใหญ่ที่โจทก์ไม่อยู่ปฏิบัติงานที่โต๊ะทำงานนั้นเป็นระหว่างเวลา 11 นาฬิกาเศษ และ 13 นาฬิกา และปรากฏตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเอกสารหมาย ล.13 ข้อ 1.5 ว่า “ให้พนักงานหยุดพักได้วันละ 1 ชั่วโมง ระหว่างเวลา 11.30-13.30 น. ตามแต่ผู้บังคับบัญชาจะเห็นสมควร” ดังนั้น การที่โจทก์ไม่อยู่ปฏิบัติงานที่โต๊ะทำงานตามรายงานลับเอกสารหมาย ล.22 จึงเป็นระยะเวลาสั้น ๆเท่านั้น ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบกับวินัยพนักงานที่เกี่ยวกับการละทิ้งหน้าที่ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.13 ข้อ 5.1.11 ซึ่งระบุว่า “พนักงานต้องไม่ละทิ้งหน้าที่ของตน หรือขาดงาน หรือไม่ปฏิบัติงานเป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร” แล้ว เห็นได้ว่าโจทก์หาได้กระทำผิดวินัยพนักงานตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในข้อดังกล่าวไม่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุเพียงเท่าที่ปรากฏในเอกสารหมาย ล.22ดังกล่าว จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ข้อต่อมาว่า คำฟ้องในส่วนของเงินสะสมเป็นฟ้องซ้ำนั้น เห็นว่า ในคดีหมายเลขแดงที่ 1087/2534 ของศาลแรงงานกลางนั้น โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่9 มีนาคม 2533 โดยไม่เป็นธรรมและมีคำขอบังคับให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน หากศาลเห็นว่า โจทก์ไม่อาจทำงานร่วมกับจำเลยได้ขอให้ศาลกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายเป็นเงิน 5,753,650.50 บาทแทน และให้จำเลยจ่ายเงินต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเลิกจ้างรวมทั้งเงินสะสมจำนวน 68,312.24 บาท ด้วย ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นที่เกี่ยวกับข้อหาการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม และพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้าง โดยมิได้วินิจฉัยประเด็นที่เกี่ยวกับเงินสะสมแต่อย่างใด โจทก์มาฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2534 โดยไม่เป็นธรรมและมีคำขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายและจ่ายเงินต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเลิกจ้างรวมทั้งเงินสะสมจำนวน 125,274.33 บาท ด้วยดังนั้น คำฟ้องในส่วนของเงินสะสม คดีนี้จึงอาศัยเหตุเลิกจ้างคนละคราวกับคดีก่อน และยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดที่ศาลได้วินิจฉัยไว้โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
สำหรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2534 ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางซึ่งมิได้พิพากษาให้โจทก์มีอายุงานต่อเนื่อง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ในวันที่11 ตุลาคม 2534 โจทก์จึงทำงานกับจำเลยไม่ครบ 1 ปี จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน และไม่มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีและเรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีด้วยจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์ละทิ้งหน้าที่ จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้านั้น เห็นว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2517 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ครั้งแรกในวันที่ 9 มีนาคม 2533 โจทก์นำคดีไปสู่ศาลแรงงานกลางศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมและพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้าง คำขออื่นให้ยก คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางดังกล่าวแม้มิได้กำหนดให้นับอายุงานต่อเนื่องไว้ แต่ตามผลและรูปคดีที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานดังกล่าวย่อมแสดงว่าเป็นการสั่งให้รับลูกจ้างกลับเข้าทำงานต่อไปในฐานะเดิมก่อนการเลิกจ้าง การนับอายุงานจึงต้องนับต่อเนื่องจากอายุงานเดิมมิใช่เริ่มนับอายุงานใหม่หลังจากที่จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานดังที่จำเลยอ้าง ส่วนปัญหาเรื่องการจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้น เมื่อศาลแรงงานกลางฟังว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์ไม่อยู่โต๊ะทำงาน ย่อมถือได้ว่าโจทก์ละทิ้งการงานไปเสียตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share