แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ตามสัญญาเช่าซื้อจะระบุว่า หากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อไม่ว่างวดหนึ่งงวดใด ให้เจ้าของมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้โดยทันที และยินยอมให้เจ้าของทำการยึด และเข้าครอบครองรถยนต์นั้นก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ไม่ตรงตามกำหนดระยะเวลาตั้งแต่งวดที่ 2 ถึงที่ 8 ซึ่งโจทก์ก็ยินยอมรับไว้ แม้โจทก์จะคิดค่าปรับแก่จำเลยที่ 1 ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อทุกงวดที่ล่าช้าก็ตาม แต่หลังจากโจทก์ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมาแล้ว โจทก์ยังยินยอมรับเงินค่าเช่าซื้องวดที่ 7 และ ที่ 8 พร้อมค่าปรับ พฤติการณ์ดังกล่าวของโจทก์แสดงว่าโจทก์มิได้ถือเอากำหนดระยะเวลาชำระค่าเช่าซื้อในสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวเป็นสาระสำคัญอีกต่อไป ดังนี้หากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญาก็จะต้องบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อภายในกำหนดระยะเวลาพอสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 ทั้งก่อนที่โจทก์จะไปยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนก็ปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ จากนั้นจำเลยที่ 1 ไปติดต่อขอรับรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน แสดงว่าจำเลยที่ 1 โต้แย้งการยึดนั้น จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกัน เมื่อโจทก์ไม่ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระงวดที่ 9 ภายในกำหนดระยะเวลาพอสมควรดังบทบัญญัติดังกล่าว การที่โจทก์ไปยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมาเพราะเหตุดังกล่าว และจำเลยที่ 1 ก็โต้แย้งการยึด โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิเลิกสัญญาได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อแทนค่าปรับที่ได้รับไว้แก่จำเลยที่ 1
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ มีจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว โดยติดตามยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน แล้วนำออกประมูลขายทำให้โจทก์เสียหายขาดราคารถยนต์และขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากการนำรถยนต์ให้บุคคลอื่นเช่า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๑ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การและจำเลยที่ ๑ ฟ้องแย้งว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันก็ไม่ต้องรับผิดด้วย ขอให้ยกฟ้องและให้บังคับโจทก์ชำระเงิน ๓๒๐,๕๙๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ ๑
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ เคลือบคลุม จำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้โจทก์ชำระเงิน ๒๓๕,๕๒๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ ๑ และให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความ ๖,๐๐๐ บาท ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๑๔,๔๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ ๑ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ มีว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา และจะต้องรับผิดหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า แม้ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๕ (ก) ระบุว่าหากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อไม่ว่างวดหนึ่งงวดใด ให้เจ้าของมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้โดยทันที และยินยอมให้เจ้าของทำการยึด และเข้าครอบครองรถยนต์นั้นก็ตาม แต่ก็ได้ความจากนายนิคม ต่างสกุล ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งสามว่า จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ไม่ตรงตามกำหนดระยะเวลาตั้งแต่งวดที่ ๒ ถึงที่ ๘ ซึ่งโจทก์ก็ยินยอมรับไว้ แม้โจทก์จะคิดค่าปรับแก่จำเลยที่ ๑ ในกรณีที่จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อทุกงวดที่ล่าช้าก็ตาม แต่หลังจากวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๑ อันเป็นวันที่โจทก์ไปยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมาแล้ว โจทก์ยังยินยอมรับเงินค่าเช่าซื้องวดที่ ๗ และที่ ๘ พร้อมค่าปรับในวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๑ พฤติการณ์ดังกล่าวของโจทก์แสดงว่าโจทก์มิได้ถือเอากำหนดระยะเวลาชำระค่าเช่าซื้อในสัญญาเช่าซื้อ ข้อ ๕ (ก) เป็นสาระสำคัญอีกต่อไป ดังนี้หากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญาก็จะต้องบอกกล่าวให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อภายในกำหนดระยะเวลาพอสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๗ ทั้งก่อนที่โจทก์จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโจทก์ได้ไปยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนในวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๑ ก็ปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบ หลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ ไปติดต่อขอรับรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน แสดงว่าจำเลยที่ ๑ โต้แย้งการยึดนั้น จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ต่างสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกัน เมื่อโจทก์ไม่ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระงวดที่ ๙ ประจำวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๐ ภายในกำหนดระยะเวลาพอสมควรดังบทบัญญัติดังกล่าว การที่โจทก์ไปยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมาเพราะเหตุดังกล่าว และจำเลยที่ ๑ ก็โต้แย้งการยึด โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ ๑ ย่อมมีสิทธิเลิกสัญญาได้ เมื่อจำเลยที่ ๑ ใช้สิทธิเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ วรรคหนึ่ง โจทก์จึงต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อและค่าปรับที่ได้รับไว้แก่จำเลยที่ ๑ แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์คืนเงินค่าเช่าซื้อและค่าปรับรวม ๒๓๕,๕๒๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ ๑ โดยหักเป็นค่าเช่าจากการใช้รถยนต์ของจำเลยที่ ๑ เสียก่อน จำเลยที่ ๑ มิได้อุทธรณ์ขอให้บังคับโจทก์ชำระเงิน ๓๒๐,๕๙๔ บาท ตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาขอให้บังคับโจทก์ชำระเงิน ๓๒๐,๕๙๔ บาท ตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวเกินกว่าจำนวนเงินตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำนวน ๘๕,๐๖๗ บาท จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในส่วนนี้ คงให้โจทก์ชำระเงิน ๒๓๕,๕๒๗ บาท แก่จำเลยที่ ๑ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ผู้ค้ำประกันซึ่งต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย เพราะเป็นกรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๕ (๑) ประกอบด้วยมาตรา ๒๔๗ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ.