คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2574/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์จำเลยทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโดยกำหนดวันที่จำเลยผู้จะขายจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ผู้จะซื้อไว้ แต่เมื่อถึงกำหนดการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญาดังกล่าวแล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทวงถามให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยก็รับเงินค่าที่ดินจากโจทก์เพิ่มขึ้นอีก โจทก์จำเลยปล่อยล่วงเวลามานานเช่นนี้แสดงว่าคู่กรณีไม่ถือเอาเวลาตามที่กำหนดไว้เป็นสาระสำคัญ เมื่อจำเลยมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและชำระราคาที่ดินที่ค้าง โดยกำหนดเวลาตามสมควรแล้วโจทก์ไม่ไปตามนัด โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา และสัญญาเป็นอันเลิกกันตามที่จำเลยบอกกล่าว คู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม โดยโจทก์ต้องคืนที่ดินให้แก่จำเลย และจำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำแต่ต้องคืนค่าที่ดินที่ได้รับล่วงหน้าให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินของจำเลย 1 แปลงราคา 180,000 บาท โจทก์วางเงินมัดจำให้จำเลยไว้ 60,000 บาทกำหนดไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันในวันที่ 20 มีนาคม 2528 เมื่อถึงกำหนดไปโอนกรรมสิทธิ์จำเลยตกลงกับโจทก์ใหม่ว่า จำเลยจะไปแบ่งแยกโฉนดให้เสร็จเสียก่อน แล้วจึงจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ต้องวางเงินล่วงหน้าให้จำเลยอีก 40,000 บาทซึ่งโจทก์มอบให้จำเลยแล้ว คงค้างอีก 80,000 บาท หลังจากนั้นโจทก์ทวงถามให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินแต่จำเลยไม่ดำเนินการ ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ หากไม่ปฏิบัติให้จำเลยชดใช้เงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยคืนแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทำสัญญาและรับเงินจากโจทก์ไว้ 100,000 บาท จริง แต่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงไม่มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืน และระหว่างที่โจทก์ครอบครองที่ดินที่จะซื้อโจทก์ได้ขุดหน้าดินไปขายคิดเป็นราคาประมาณ 300,000 บาท ขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าปรับปรุงที่ดินให้คืนสภาพเดิมเป็นเงิน 300,000บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ให้การและแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินได้ตามสัญญา ค่าเสียหายไม่เกิน 25,000 บาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระราคาที่ดินส่วนที่ไม่มีสิทธิรับไว้จำนวน 40,000 บาท คืนโจทก์พร้อมดอกเบี้ย และให้โจทก์ส่งคืนที่ดินในสภาพเดิม หากไม่สามารถคืนในสภาพเดิมได้ให้คืนในสภาพที่เป็นอยู่และใช้ค่าเสียหายจำนวน 150,000 บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หลังจากวันครบกำหนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาแล้วเป็นเวลาเกือบ 1 ปี จำเลยจึงมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยก่อนหน้านั้นไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้มีการทวงถามให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาแต่อย่างใด การที่โจทก์จำเลยทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินโดยกำหนดวันที่จำเลยผู้จะขายจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ผู้จะซื้อไว้ แต่เมื่อถึงกำหนดการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญาดังกล่าวแล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทวงถามให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยก็รับเงินค่าที่ดินเพิ่มอีก 40,000 บาท โจทก์จำเลยปล่อยล่วงเวลามานานเช่นนี้แสดงว่าคู่กรณีไม่ถือเอาเวลาตามที่กำหนดไว้เป็นสาระสำคัญ เมื่อจำเลยมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและชำระราคาที่ดินที่ค้าง โดยกำหนดเวลาตามสมควรแล้วโจทก์ไม่ไปตามนัด โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา และสัญญาเป็นอันเลิกกันตามที่จำเลยบอกกล่าวคู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมโดยโจทก์ต้องคืนที่ดินให้แก่จำเลยและจำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำ แต่ต้องคืนค่าที่ดินที่ได้รับล่วงหน้าให้แก่โจทก์
พิพากษายืน

Share