คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2570/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้แย่งการครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าจากจำเลยจนพ้นระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิฟ้องเรียกร้องเอาคืนแล้ว โจทก์ก็มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย ศาลอุทธรณ์จึงวินิจฉัยได้ว่าจำเลยมิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้กำหนดประเด็นเรื่องนี้ไว้ก็ตาม และเมื่อโจทก์มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่มีชื่อคนอื่นเป็นเจ้าของ

ย่อยาว

โจทก์แจ้งขอรับเอกสารสิทธิครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่า จำเลยคัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของ ย. ซึ่งได้รับเอกสารสิทธิจากทางราชการแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง โจทก์จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติรับฟังได้ว่า เดิมที่พิพาททั้งสองแปลงเป็นที่ดินผืนเดียวกัน มีเนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2488 ทางราชการตัดถนนผ่านที่ดินดังกล่าว ทำให้ที่พิพาทแบ่งออกเป็น 2 แปลง แปลงที่อยู่ทางทิศเหนือของถนนมีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 3 งานส่วนแปลงที่อยู่ทางทิศใต้มีเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ ที่พิพาททั้ง 2 แปลงดังกล่าวเป็นที่ดินมือเปล่า และขณะนี้โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำนามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518และได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ตั้งแต่นั้นมา

คดีนี้ปรากฏว่า ทั้งโจทก์และจำเลยต่างฎีกาขึ้นมาด้วยกันทั้งสองฝ่ายซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาของจำเลยก่อน

ที่จำเลยฎีกาขึ้นมาสารสำคัญว่า จำเลยยอมให้โจทก์เข้าทำนาในลักษณะเช่า แม้ไม่มีสัญญาเช่าก็ฟังได้ว่าโจทก์อยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าซึ่งจำเลยไม่อาจบังคับคดีตามสิทธิการเช่าได้เท่านั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามคำให้การของจำเลยไม่ปรากฏว่าได้ให้โจทก์เช่าที่พิพาทแต่อย่างใด การที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์เช่าที่พิพาทจากจำเลยจึงเป็นเรื่องนอกคำให้การ ทั้งปรากฏจากบันทึกถ้อยคำที่จำเลยเคยให้การไว้ต่อนายอำเภอพลเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม2520 ว่าโจทก์ได้เข้าทำประโยชน์ในปี 2518 โดยทำนาปลูกข้าวโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยเคยห้ามโจทก์ด้วยวาจาแล้วไม่ให้เข้าทำ เพราะที่ดินแปลงนี้มี น.ส.3 ของนายยิ่งยงแล้ว แต่โจทก์ยังฝ่าฝืนทำต่อมา อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์เป็นฝ่ายแย่งการครอบครอง และเมื่อที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า การที่โจทก์เข้าครอบครองโดยเจตนาที่จะยึดถือเอาเป็นของตน ดังจะเห็นได้จากการที่โจทก์ได้เสียภาษีบำรุงท้องที่เรื่อยมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 เมื่อจำเลยไม่ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปีนับตั้งแต่นั้น จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องเอาที่พิพาทคืน ที่พิพาทจึงเป็นของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองเหนือที่ดินพิพาทจึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

จำเลยฎีกาต่อไปอีกว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกประเด็นในส่วนที่วินิจฉัยว่า จำเลยมิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี ทั้งศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดประเด็นในเรื่องนี้ไว้นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวสืบเนื่องมาจากที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเดิมที่พิพาทเป็นของนายยิ่งยง ดำรงชัย ซึ่งมอบอำนาจให้จำเลยดูแลรักษาแต่โจทก์ได้แย่งการครอบครองจากจำเลย จนพ้นระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิฟ้องเรียกร้องเอาที่พิพาทคืนแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยหาได้วินิจฉัยนอกประเด็นแต่อย่างใดไม่ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่พิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 สำหรับที่พิพาทอันจะทำให้มีเจ้าของถึง 2 เจ้าของพร้อม ๆ กันนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทซึ่งมีน.ส.3 เป็นของนายยิ่งยง แต่โจทก์ได้แย่งการครอบครองจนมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นดังข้อฎีกาของโจทก์แต่อย่างใด”

พิพากษายืน

Share