แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การพิจารณาคดีส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 ให้ศาลถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาส่วนการชี้ขาดคดีส่วนแพ่ง ศาลต้องดำเนินตามมาตรา 47 กล่าวคือดูว่าตามข้อเท็จจริงที่ได้จากคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้นจำเลยต้องรับผิดในทางแพ่งประการใดหรือไม่ ทั้งนี้โดยไม่คำนึงถึงเลยว่าจำเลยผิดในทางอาญา และต้องมีโทษหรือไม่อย่างไร
ปลัดอำเภอบังคับให้ผู้แจ้งปริมาณเสื้อผ้า ขายเสื้อผ้าต่างๆ แก่ผู้อื่นโดยราคาถูกแม้จะเชื่อโดยสุจริตว่า ทำไปโดยมีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายและผู้ซื้อรับซื้อโดยคิดว่าถูกต้องก็ตามถ้าปรากฏว่าการกระทำนั้นเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะได้มีประกาศยกเลิกการควบคุมในการนั้นแล้ว ปลัดอำเภอและผู้รับซื้อต้องรับผิดฐานละเมิด
โจทก์กล่าวบรรยายข้อเท็จจริงไว้เป็นตอนๆ ได้ความชัดว่าจำเลยที่ 1 บังคับให้โจทก์ขายผ้าให้จำเลยที่ 2,3,4 ในราคาถูกโดยไม่มีความชอบธรรมที่จะทำได้ตามกฎหมายเป็นการเพียงพอที่จะให้ค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่งแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 รับราชการเป็นปลัดอำเภอบัว จำเลยที่ 4 รับราชการเป็นสารวัตรอำเภอบัว จำเลยที่ 2, 3 ตั้งร้านค้าขายอยู่ในอำเภอปัว เมื่อวันที่ 4 หรือวันที่ 5 ธันวาคม 2487 จำเลยที่ 1 ได้แอบอ้างอำนาจและตำแหน่งหน้าที่ราชการซึ่งไม่มีความชอบธรรมที่จะทำได้ตามกฎหมายมาสั่งบังคับให้โจทก์ขายเสื้อผ้าต่าง ๆ ตามที่โจทก์แจ้งปริมาณไว้ให้แก่จำเลยที่ 2, 3, 4 ในราคาถูก ซึ่งความจริงทางราชการได้ประกาศและสั่งยกเลิกการควบคุมในการนี้แล้ว แต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2487 จึงกระทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คิดเป็นเงิน 723 บาท27 สตางค์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304 และเรียกราคาทรัพย์ 723 บาท 27 สตางค์
ศาลชั้นต้นยกฟ้องข้อหาในทางอาญา คงให้จำเลยใช้เงิน 723 บาท27 สตางค์แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อทางอาญาศาลยกฟ้อง โดยฟังว่าคดียังไม่มีหลักฐานมั่นคงพอว่าจำเลยได้ทราบการยกเลิกการควบคุมมาก่อนแล้ว จะให้จำเลยรับผิดในทางแพ่งมิชอบ จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่บังคับให้โจทก์ขายผ้าให้แก่จำเลยที่ 2, 3, 4 และจำเลยที่ 2, 3, 4 รับซื้อไว้นี้ จำเลยกระทำไปโดยจงใจ และเมื่อจำเลยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จำเลยที่ 1 จะเชื่อโดยสุจริตว่า มี และจำเลยที่ 2, 3, 4 จะรับซื้อโดยคิดว่าถูกต้องก็ตาม เมื่อความจริงเวลานั้นได้ยกเลิกการควบคุม และจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจบังคับให้โจทก์ขายแล้ว จำเลยทั้งหมดก็ต้องรับผิดฐานละเมิด จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์บังคับคดีตามศาลชั้นต้น