แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ค. โอนที่ดินตามฟ้องทั้งสี่แปลงชำระหนี้โจทก์ โดยที่ดิน 3 แปลงแรกตีใช้หนี้ 2,971,500 บาท ที่ดินแปลงที่ 4 ตีใช้หนี้ 731,000 บาท ซึ่งเป็นการโอนโดยมีค่าตอบแทนต่ำกว่าราคาที่พึงได้รับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ตามปกติ เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจกำหนดราคาขายที่ดินทั้งสี่แปลงตามราคาที่พึงได้รับจากการขายตามปกติตามราคาในวันที่โอน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 49 ทวิ ค. ให้ถ้อยคำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในวันโอนว่าที่ดิน 3 แปลงแรกตกลงโอนในราคา 4,700,000 บาท และแปลงที่ 4 ตกลงโอนในราคา 2,000,000 บาท พนักงานเจ้าหน้าที่จึงกำหนดเอาราคาที่ ค. แจ้งเป็นราคา ที่พึงได้รับจากการขายตามปกติตามราคาในวันที่โอนนั้น ซึ่งเป็นการชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 49 ทวิแล้ว เพราะราคาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากรด้วยได้กำหนดนั้นไม่เกินจำนวนทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๒๖ โจทก์ซื้อที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๒๕๖,๒๕๗, ๓๓๖ ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ในราคารวม ๒,๙๗๑.๕๐๐ บาทและที่ดินตาม น.ส.๓ เลขที่ ๔๘๔ ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ในราคา ๗๓๑,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นราคาสูงกว่าราคาซื้อขายกันในท้องตลาดขณะจดทะเบียนรับโอนจากนายคุณวุฒิ จงไพโรจน์โฆษิต โดยการหักกับหนี้ที่นายคุณวุฒิ เป็นหนี้โจทก์อยู่ตามยอดหนี้ในบัญชีกระแสรายวันเลขที่ ๘๙๕ โจทก์หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายนำส่งทางราชการเป็นเงิน ๑๓๐,๐๐๐ บาท และ ๓๒,๕๐๐ บาท ตามลำดับ ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งให้โจทก์เสียภาษีอีก ๗๔,๐๕๙.๙๘ บาท เงินเพิ่ม ๑๘,๘๘๕.๒๙ บาทรวมเป็นเงิน ๙๒,๙๔๕.๒๗ บาท ตามสำเนาหนังสือท้ายฟ้องหมายเลข ๓ โจทก์ชำระเงินตามหนังสือแจ้งดังกล่าวแล้วได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้โจทก์เสียภาษีและเงินเพิ่มตามที่เจ้าพนักงานประเมินมีคำสั่งตามสำเนาหนังสือแจ้งผลการวินิจฉัยอุทธรณ์ท้ายฟ้องหมายยเลข ๔ โจทก์ไม่เห็นฟ้องกับการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เพราะการเก็บภาษีต้องเก็บจากเงินได้พึงประเมินที่แท้จริงคือตามราคาซื้อขาย การที่เจ้าพนักงานประเมินถือเอาตามราคาทุนทรัพย์ที่เจ้าพนักงานที่ดินกำหนดเป็นทุนทรัพย์เพื่อจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมคือ ๔,๗๐๐,๐๐๐ บาท และ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาทตามลำดับนั้น เป็นการไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ทุนทรัพย์ที่เจ้าพนักงานที่ดินกำหนดไว้นั้นกำหนดเอาตามวงเงินจำนองที่เคยจดทะเบียนไว้ซึ่งสูงกว่าราคาประเมินของทางราชการ การที่โจทก์จดทะเบียนรับจำนองที่ดินดังกล่าวไว้สูงกว่าราคาจริงก็เพื่อเพิ่มวงเงินกู้สำหรับให้ลูกค้านำเงินไปสร้างอาคารและพัฒนาที่ดินให้มีราคาสูงขึ้นในอนาคตเพื่อประโยชน์ในทางการค้าของลูกหนี้ แต่ต่อมาปรากฏว่าลูกหนี้ไม่ได้นำเงินกู้ไปทำประโยชน์ในที่ดิน ที่ดินดังกล่าวจึงมีราคาต่ำกว่าที่เคยจดทะเบียนจำนองไว้โจทก์มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้สำหรับที่ดนิ ๓ แปลงแรกตามราคาซื้อขายเป็นค่าภาษีจำนวน ๑๔๙,๐๑๗.๔๐ บาท โจทก์นำส่งเพียง ๑๓๐,๐๐๐ บาท ขาดไปจำนวน๑๙,๐๑๗.๔๐ บาท ค่าภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับที่ดินแปลงหลังจำนวน ๑๓,๙๔๔ บาทโจทก์นำส่งจำนวน ๓๒,๔๐๐ บาท เกินไป ๑๘,๔๕๖ บาท ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตามหนังสือแจ้ง ที่ ชร.๐๐๐๖/๕๒๕ และ ๒/๒๕๒๔ ตามลำดับ ให้จำเลยคืนเงินจำนวน ๑๑๑,๔๐๑.๒๗ บาท แก่โ่จทก์
จำเลยให้การว่า เจ้าพนักงานประเมินได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และเงินเพิ่มรวม ๙๒,๙๔๕.๒๗ บาท ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓ จริง เพราะโจทก์หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายและนำส่งไม่ครบ โจทก์และนายคุณวุฒิ จงไพโรจน์โฆษิต แจ้งราคาโอนที่ดินทั้งสองรายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในราคา ๔,๗๐๐,๐๐๐ บาท และ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาทพนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้กำหนดราคาทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามที่โจทก์และนายคุณวุฒิแจ้ง ไม่ใช่เจ้าพนักงานประเมินใช้อำนาจกำหนดราคาขายที่ดินนั้นขึ้นเพราะเหตุการโอนอสังหาริมทรัพย์มีค่าตอบแทนต่ำกว่าที่พึงได้รับจากการขายตามปกติ แต่เป็นการถือเอาราคาทุนทรัพย์ของที่ดินที่โจทก์และนายคุณวุฒิได้แจ้งตกลงโอนเป็นราคาขายที่พึงได้รับจากการขายตามปกติการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงถูกต้องแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือที่ ชร.๐๐๐๖/๕๒๕ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ ๒/๒๕๒๔ กับให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์ ๑๑๑,๔๐๑.๒๗ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบโดยมิได้โต้แย้งกันฟังได้ว่า นายคุณวุฒิจงไพโรจน์โฆษิต โอนที่ดิน น.ส.๓ เลขที่ ๒๕๖, ๒๕๗, ๓๓๖ เนื้อที่รวม ๔ ไร่ ๙๘ ตารางวาและ น.ส.๓ เลขที่ ๔๘๔ เนื้อที่ ๓๖ ไร่ ๒ งาน ๒๐ ตารางวา ให้แก่โจทก์แทนการชำระหนี้โดยที่ดิน ๓ แปลงแรกตีใช้หนี้ ๒,๙๗๑,๕๐๐ บาท ที่ดินแปลงที่ ๔ ตีใช้หนี้ ๗๓๑,๐๐๐ บาทโจทก์และนายคุณวุฒิแจ้งราคาโอนหรือแสดงจำนวนทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมจำนวน๔,๗๐๐,๐๐๐ บาท และ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ได้กำหนดราคาทุนทรัพย์เพื่อเรียกค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นเงิน๔,๗๐๐,๐๐๐ บาท ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่โจทก์และนายคุณวุฒิแจ้ง โจทก์นำส่งเงินภาษีรายได้หัก ณ ที่จ่าย ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำนวน ๑๓๐,๐๐๐ บาท และ๓๒,๔๐๐ บาท ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายอีก ๗๔,๐๕๔.๙๘ บาท กับชำระเงินเพิ่มจำนวน ๑๘,๘๘๕.๒๙ บาทรวมเป็นเงิน ๙๒,๙๔๕.๒๗ บาท เนื่องจากเจ้าพนักงานประเมินเห็นว่ามิได้คำนวณตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เอกสารหมาย ป.ล.๑ จึงได้คำนวณใหม่ให้ถูกต้องโดยมิได้กำหนดทุนทรัพย์ขึ้นใหม่ โจทก์ชำระเงินตามหนังสือแจ้งนั้นแล้ว ตามเอกสารหมาย จ.๕ และได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของโจทก์ ให้โจทก์ชำระภาษีและเงินเพิ่มตามคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน ที่ดิน ๓ แปลงแรก ทางราชการได้กำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมไร่ละ ๗๐๐,๐๐๐ บาท จำนวน ๓ ไร่ ส่วนที่เหลือไร่ละ ๔๐๐,๐๐๐ บาท ที่ดินแปลงที่ ๔ มีราคาประเมินสำหรับทุนทรัพย์ในการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมไร่ละ ๒๐,๐๐๐ บาท ที่ดิน ๓ แปลงแรก จึงมีราคาประเมิน ๒,๕๙๘,๐๐๐ บาท ส่วนที่ดินแปลงที่ ๔ มีราคาประเมิน ๗๓๑,๐๐๐ บาท คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามฟ้อง ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ประมวลรัษฎากร มาตรา ๔๙ ทวิ บัญญัติว่า “ในกรณีที่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทนหรือมีค่าตอบแทนต่ำกว่าราคาที่พึงได้รับจากการขายอสังหาริมทรัพย์นั้นตามปกติ เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจกำหนดราคาขายอสังหาริมทรัพย์นั้นตามราคาที่พึงได้รับจากการขายตามปกติ ตามราคาในวันที่โอนนั้น แต่ต้องไม่เกินจำนวนทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียน หรือจำนวนทุนทรัพย์ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายที่ดิน แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่ากัน” จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นว่า ถ้าหากมีการโอนสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยมีค่าตอบแทนต่ำกว่าราคาที่พึงได้รับจากการขายอสังหาริมทรัพย์นั้นตามปกติแล้วเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจกำหนดราคาขายอสังหาริมทรัพย์นั้น ตามราคาที่พึงได้รับจากการขายตามปกติตามราคาในวันที่โอนนั้นได้ คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า การที่นายคุณวุฒิโอนที่ดินตามฟ้องทั้ง ๔ แปลงตีชำระหนี้ให้โจทก์นั้น เป็นการโอนสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยมีค่าตอบแทนต่ำกว่าราคาที่พึงได้รับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ตามปกติ โจทก์และจำเลยมิได้แก้อุทธรณ์หรืออุทธรณ์โต้แย้ง ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า การโอนตามฟ้องทั้ง ๔ แปลง เป็นการโอนโดยมีค่าตอบแทนต่ำกว่าราคาที่พึงได้รับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ตามปกติเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจกำหนดราคาขายที่ดินทั้ง ๔ แปลงตามฟ้อง ตามราคาที่พึงได้รับจากการขายตามปกติตามราคาในวันที่โอนนั้น ซึ่งนายคุณวุฒิก็ได้ให้ถ้อยคำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในวันโอนว่าสำหรับที่ดิน ๓ แปลงแรก ตกลงโอนในราคา ๔,๗๐๐,๐๐๐ บาท ปรากฏตามเอกสารหมายเลข ๔ ท้ายเอกสารหมาย จ.๓ และสำหรับที่ดินแปลงที่ ๔ ตกลงโอนในราคา๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ปรากฏตามเอกสารหมายเลข ๕ ท้ายเอกสารหมาย จ.๓ เมื่อนายคุณวุฒิแจ้งโอนในราคาดังกล่าว พนักงานเจ้าหน้าที่จึงกำหนดเอาราคาที่นายคุณวุฒิแจ้งเป็นราคาขายที่ดินที่พึงได้รับจากการขายตามปกติตามราคาในวันที่โอนนั้น ซึ่งเป็นการชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา ๔๙ ทวิ แล้ว เพราะราคาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากรด้วยได้กำหนดนั้น ไม่เกินจำนวนทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียน ดังนั้นในการคำนวณภาษีเงินได้จากการโอนที่ดินทั้ง ๔ แปลงนี้ จึงต้องคำนวณจากราคาขาย๓ แปลงแรก ในราคา ๔,๗๐๐,๐๐๐ บาท และแปลงที่ ๔ ในราคา ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท
พิพากษายืน