คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2557/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายเป็นเด็กผู้หญิงอายุไม่เกิน 13 ปี นั่งรถโดยสารของจำเลยกลับบ้าน เมื่อจำเลยขับรถมาถึงปากซอยเข้าบ้านผู้เสียหายผู้เสียหายบอกให้จำเลยจอดรถเพื่อจะลง จำเลยไม่ยอมจอดรถให้ผู้เสียหายลง กลับขับรถที่มีแต่ผู้เสียหายนั่งอยู่ตามลำพังกับจำเลยไปในสถานที่เปลี่ยวซึ่งไม่ปรากฏว่ามีบ้านผู้ใดปลูกอยู่อาศัยบริเวณข้างทางเลยทั้งสองข้างทางก็เป็นที่รกเต็มไปด้วยต้นไม้ต่าง ๆ และพูดขอดูอวัยวะเพศของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายกระโดดลงจากรถของจำเลยจำเลยยังขับรถแล่นไล่ตามดักหน้าดักหลังผู้เสียหาย พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการข่มขืนใจและพาผู้เสียหายไปโดยความไม่สมัครใจของผู้เสียหาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์อายุยังไม่เกิน 13 ปีไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยขู่เข็ญและใช้กำลังประทุษร้ายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284, 317 จำเลยให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคแรก จำคุก 6 ปี โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยกระทำผิดตามมาตรา 317 วรรคสาม จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องข้อหาพรากผู้เยาว์ด้วย โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ในชั้นฎีกาคงมีปัญหาที่จะวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร หรือเพื่อการอนาจารหรือไม่ ในปัญหานี้ โจทก์มีนายวิสูตรเบิกความเป็นพยานว่า ในวันเกิดเหตุเวลาบ่าย ได้ขับรถยนต์บรรทุกขนาดเล็กมาตามถนนธนบุรี-ปากท่อ เมื่อรถแล่นเลยร้านอาหารวังกุ้งได้ประมาณ 2-3กิโลเมตร มาถึงซอยทางซ้ายมือซอยหนึ่ง มีรถยนต์โดยสารสองแถวขนาดเล็กคันหนึ่งกำลังแล่นช้า ๆ และมีเด็กหญิงคนหนึ่งคือผู้เสียหายเปิดประตูด้านซ้ายของรถแล้วกระโดดลงมาจากรถและลื่นล้มลงไป ขณะนั้นฝนกำลังตกอยู่ รถสองแถวคันนั้นได้ถอยหลังกลับมาทางผู้เสียหาย ผู้เสียหายได้ลุกขึ้นและวิ่งหนีเข้ามาหารถของพยาน รถสองแถวนั้นยังคงถอยหลังแล่นกวดผู้เสียหายอยู่อีกพอผู้เสียหายวิ่งมาได้ห่างรถของพยานประมาณ100 เมตร พอดีมีรถโดยสารประจำทางแล่นมา ผู้เสียหายโบกมือให้รถหยุดแล้วผู้เสียหายขึ้นรถโดยสารประจำทางไป ส่วนพยานขับรถแล่นตามรถสองแถวคันนั้นไปและแล่นเข้าซอยทางขวามือได้ประมาณ 100 เมตรรถสองแถวได้จอดอยู่ที่ที่มีลังไม้กองอยู่ พยานจึงขับรถเลยไปแจ้งความกับเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งทำหน้าที่จราจรอยู่ แล้วพาเจ้าพนักงานตำรวจคนนั้นไปเพื่อจับคนขับรถสองแถว แต่ไม่พบ จึงรีบขับรถไปดักรถโดยสารคันที่รับผู้เสียหายไป เมื่อรับตัวผู้เสียหายได้แล้วได้พาผู้เสียหายไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม ผู้เสียหายพยานโจทก์เบิกความว่า ผู้เสียหายและเพื่อนชื่อเด็กหญิงศศิกัลยานิวาตวงศ์ กลับจากไปรับประทานส้มตำที่บ้านเพื่อนเวลาประมาณ15 นาฬิกา ได้มารอรถที่ป้ายรถโดยสารประจำทางเพื่อจะกลับบ้านพอดีมีจำเลยขับรถยนต์โดยสารสองแถวขนาดเล็กผ่านมา ผู้เสียหายรู้จักจำเลยมาก่อน จำเลยจึงหยุดรถ และเรียกผู้เสียหายและเด็กหญิงศศิกัลยาขึ้นนั่งที่ด้านหน้าติดกับจำเลย เมื่อรถแล่นมาถึงซอยอาทิตย์ เด็กหญิงศศิกัลยาลงจากรถไป รถได้แล่นต่อมาอีก 1 ป้ายผู้โดยสารที่นั่งมาข้างหลัง 2 คน ลงจากรถ จึงเหลือแต่ผู้เสียหายคนเดียว ขณะที่รถแล่นผ่านซอยหน้าบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายบอกให้จำเลยจอดรถแต่จำเลยไม่ยอมจอดรถ จำเลยชวนผู้เสียหายไปดูที่ดินที่จำเลยซื้อไว้แล้วพาผู้เสียหายไปทางวัดสิงห์ ผู้เสียหายอยากกลับบ้าน จำเลยก็เฉย จำเลยขับรถต่อมาอีก และแวะซื้อน้ำส้มให้ผู้เสียหายดื่มเพราะผู้เสียหายบอกหิวน้ำตามที่จำเลยถามผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่ยอมดื่มเพราะไม่ไว้ใจจำเลย ขณะนั้นฝนเริ่มตกหนัก จำเลยได้ขับรถเลี้ยวเข้าซอยที่มีต้นมะขามใหญ่อยู่ปากซอยได้ประมาณ 4-5 ป้าย จำเลยจอดรถและลงไปปัสสาวะ เมื่อจำเลยกลับมาขึ้นรถและพูดขอดูอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ยินยอมและร้องไห้ จำเลยเอื้อมมือทำท่าจะจับร่างกายของผู้เสียหาย แต่ยังไม่ทันจับผู้เสียหายร้องไห้และขอให้จำเลยพากลับบ้าน เพราะกลัวจำเลยจะทำร้าย ผู้เสียหายได้ดึงกระเป๋าหนังสือมาวางปิดหน้าตักไว้จำเลยได้ขับรถกลับมาช้า ๆ เพราะทางบริเวณนั้นเป็นหลุมมาก ผู้เสียหายได้เปิดประตูรถแล้วกระโดดลงจากรถและวิ่งหนีมาทางปากซอย จำเลยขับรถตามมาและเรียกขึ้นรถ ผู้เสียหายไม่ขึ้น และวิ่งต่อมาจนถึงปากซอยแล้ววิ่งเลี้ยวซ้าย จำเลยขับรถไปดักหน้าผู้เสียหายไว้ผู้เสียหายวิ่งกลับหลังไปทางด้านขวาของถนน จำเลยถอยหลังรถตามผู้เสียหายอีก ขณะนั้นมีคนขับรถแล่นผ่านมาแล้วมองดูผู้เสียหายพอดีมีรถโดยสารประจำทางสาย 76 แล่นผ่านมา ผู้เสียหายโบกมือให้รถหยุดรถได้หยุดรับผู้เสียหายขึ้นรถ พอรถโดยสารแล่นมาถึงป้อมยามตำรวจมีเจ้าพนักงานตำรวจให้รถหยุด แล้วขึ้นมาถามหาผู้เสียหายและรับผู้เสียหายไปตามหารถจำเลยแต่ไม่พบ เจ้าพนักงานตำรวจพาผู้เสียหายไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม เจ้าพนักงานตำรวจได้สอบปากคำของผู้เสียหายไว้ เสร็จแล้วเจ้าพนักงานตำรวจได้พาผู้เสียหายไปส่งที่บ้าน เมื่อถึงบ้านผู้เสียหายได้เล่าเหตุการณ์ให้โจทก์ร่วมฟัง ผู้เสียหายเคยขึ้นรถของจำเลย ครั้งแรกจำเลยไม่เก็บเงินค่าโดยสารเมื่อขึ้นครั้งที่ 2 จำเลยไม่ยอมเก็บค่าโดยสารอีกพอขึ้นรถจำเลยครั้งที่ 3 ก็เกิดเหตุเรื่องนี้ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานโจทก์ทั้งสองปากประกอบกับภาพถ่ายที่เกิดเหตุที่ผู้เสียหายและจำเลยนำชี้แล้วเห็นว่า บริเวณที่จำเลยขับรถไปนั้นเป็นทางเปลี่ยวไม่ปรากฏว่ามีบ้านผู้ใดปลูกอยู่อาศัยตามบริเวณข้างทางเลย ทั้งสองข้างทางก็เป็นที่รกเต็มไปด้วยต้นไม้ต่าง ๆ พฤติการณ์ที่จำเลยขับรถมาถึงปากซอยเข้าบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายบอกให้จำเลยจอดรถเพื่อจะลง จำเลยไม่ยอมหยุดรถให้ผู้เสียหายลง จำเลยกลับขับรถที่มีแต่ผู้เสียหายนั่งอยู่ตามลำพังกับจำเลยไปในสถานที่เปลี่ยวดังกล่าวข้างต้น และพูดขอดูอวัยวะเพศของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายกระโดดลงจากรถของจำเลย จำเลยยังขับรถแล่นไล่ตามผู้เสียหายดังที่นายวิสูตรพยานโจทก์เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น ทั้งขับรถมาดักหน้าดักหลังดังที่ผู้เสียหายเบิกความอีกด้วย ผู้เสียหายขอร้องให้จำเลยพากลับบ้าน จำเลยหาได้กลับแต่โดยดีไม่ กลับฝ่าฝืนขับรถไปที่เปลี่ยวและแสดงกิริยาทีท่าที่ไม่ดีจนผู้เสียหายร้องไห้เช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นการข่มขืนใจและพาผู้เสียหายไปโดยความไม่สมัครใจของผู้เสียหายและไม่มีเหตุอันสมควรเพราะตลอดเวลาที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนั้น ไม่ปรากฏจากคำเบิกความของผู้เสียหายเลยว่า จำเลยได้ชี้ที่ดินของจำเลยให้ผู้เสียหายดูให้เป็นกิจจะลักษณะดังที่จำเลยกล่าวอ้างว่าจะพาไปดูที่ดินที่ซื้อไว้ จำเลยหยุดรถเพียง 2 ครั้งเท่านั้น คือตอนที่ซื้อน้ำส้มให้ผู้เสียหายดื่มและตอนที่จำเลยหยุดรถลงไปปัสสาวะ เมื่อกลับมาขึ้นรถก็พูดขอดูอวัยวะเพศของผู้เสียหายซึ่งเป็นกิริยาที่ไม่สมกับที่จำเลยอ้างว่ารักผู้เสียหายเหมือนบุตรหลาน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี ไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรและเพื่อการอนาจารเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม ที่จำเลยนำสืบมานั้นเป็นคำแก้ตัวของจำเลยที่ฟังไม่ขึ้น แต่ก็เป็นการให้ความรู้ต่อศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดโทษเสียใหม่ และควรลดโทษให้จำเลยเพราะมีเหตุบรรเทาโทษ”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา317 วรรคสามเดิม จำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก3 ปี 4 เดือน

Share