คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2556/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ติดตามยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมาได้รถยนต์อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมหลังจากนั้นโจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกประมูลขายได้ราคาต่ำกว่าราคารถยนต์ที่เช่าซื้ออันแท้จริงจึงฟ้องเรียกเงินส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายในระหว่างที่จำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อในลักษณะเป็นเบี้ยปรับหาใช่ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสื่อมสภาพรถยนต์ที่เช่าซื้อเนื่องจากชำรุดบกพร่องจากการใช้ของจำเลยแต่อย่างใดไม่ฉะนั้นการฟ้องเรียกค่าเสียหายเช่นนี้เป็นผลจากการเลิกสัญญาตกอยู่ในบังคับอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/30

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2533 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิ หมายเลขทะเบียน 2 ธ-6935กรุงเทพมหานคร ไปจากโจทก์ในราคา 222,400 บาท ตกลงผ่อนชำระเป็น 36 งวด งวดละ 6,178 บาท ต่อเดือน งวดสุดท้ายชำระ 6,170 บาทเริ่มชำระงวดแรกวันที่ 1 กันยายน 2533 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 1ของเดือนจนกว่าจะครบ จำเลยที่ 2 ได้ค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมหลังจากทำสัญญาจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 6เป็นต้นมาเป็นเวลา 2 งวดติดต่อกัน โจทก์จึงมีหนังสือทวงถามและบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 1 และสัญญาเช่าซื้อได้เลิกกันตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2534 แต่จำเลยที่ 1 ยังคงครอบครองและใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อตลอดมา จนกระทั่งวันที่ 23 พฤษภาคม 2534โจทก์จึงติดตามยึดรถยนต์คืนได้ ในการนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายติดตาม 3,500 บาท เมื่อนำรถยนต์ออกประมูลขายได้ในราคา 86,500 บาทราคารถยนต์ยังขาดจำนวนอยู่ 105,010 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1จะต้องรับผิดชำระเงินส่วนที่ขาดนี้ และยังต้องรับผิดในค่าใช้ทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2534 อันเป็นวันผิดนัดถึงวันสัญญาเช่าซื้อเลิกกันเดือนละ 4,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือนเศษเป็นเงิน 12,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 120,510 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 120,510 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อมีราคาเพียง 160,000บาท เท่านั้น หาใช่ราคา 222,400 บาท ไม่ ราคารถยนต์ที่เช่าซื้อประมูลขายไปในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง ก่อนฟ้องโจทก์มิได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหาย ทั้งโจทก์ได้รถยนต์ที่เช่าซื้อคืนไปตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2534 แต่โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสื่อมสภาพของรถยนต์ที่เช่าซื้อภายใน 6 เดือนฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 65,500 บาทแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ และ จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อระหว่างจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อถึงวันที่สัญญาเช่าซื้อเลิกกัน 12,000 บาท และค่าติดตามรถยนต์ที่เช่าซื้อ 3,500 บาท รวมเป็นเงิน 15,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าตามฟ้องโจทก์เรียกร้องเอาค่าขายรถยนต์ที่เช่าซื้อขาดราคาไม่ใช่ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรถยนต์ที่เช่าซื้อเสื่อมสภาพ คดีโจทก์มีอายุความ 10 ปี มิใช่อายุความ 6 เดือน คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อโจทก์ติดตามยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมาได้ รถยนต์อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม หลังจากนั้นโจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกประมูลขายได้ราคา 86,500 บาท ซึ่งราคารถยนต์ที่เช่าซื้ออันแท้จริงเป็นเงิน 160,000 บาท ยังขาดเงินอยู่อีก 73,500 บาทกรณีจึงเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายในระหว่างที่จำเลยที่ 1ผิดสัญญาเช่าซื้อในลักษณะเป็นเบี้ยปรับ หาใช่ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสื่อมสภาพรถยนต์ที่เช่าซื้อ เนื่องจากชำรุดบกพร่องจากการใช้ของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใดไม่ ฉะนั้นการฟ้องเรียกค่าเสียหายเช่นนี้เป็นผลจากการเลิกสัญญาตกอยู่ในบังคับอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/30 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อมาจากจำเลยที่ 1 ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2534 โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายราคารถยนต์ที่เช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ขาดส่งในวันที่21 มกราคม 2535 ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้เต็มตามฟ้องนั้นปัญหาข้อนี้ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่เห็นว่าสำหรับค่าเสียหายในส่วนนี้จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์แล้ว 5 งวด เป็นเงิน 30,890 บาท โจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกประมูลขายได้ราคา 86,500 บาท ซึ่งราคารถยนต์ที่เช่าซื้อเป็นราคาเงินสดเพียง 160,000 บาท จึงเห็นควรกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 50,000 บาท รวมกับค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ 15,500 บาท เป็นเงินค่าเสียหายทั้งสิ้น 65,500 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 65,500 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

Share