คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2554/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทางพิพาทเป็นทางผ่านเข้าออกในที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่มีมาอยู่แต่เดิมแล้วก่อนที่โจทก์จะใช้เป็นทางผ่านเข้าออก โจทก์เริ่มใช้ทางพิพาทเข้าออกขณะพี่ชายโจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินนั้นแทนคณะพ่อค้า และโจทก์เป็นคณะกรรมการดูแลที่ดินคนหนึ่ง จึงเป็นการใช้ทางโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดิน ทั้งตามพฤติการณ์ถือได้ว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยการถือวิสาสะมิใช่เป็นการใช้สิทธิปรปักษ์ แม้โจทก์จะใช้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยที่ 1 ติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบปี ทางพิพาทก็ไม่ตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๕๑๕ จำเลยที่ ๑ มีที่ดินอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก เมื่อประมาณ ๓๐ ปีมาแล้ว โจทก์และบริวารได้ใช้ที่ดินบางส่วนของจำเลยที่ ๑ เฉพาะที่เป็นทางเข้าออกของที่ดินจำเลยที่ ๑ ที่ติดกับที่ดินโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกตลอดแนวและอ้อมไปทางทิศเหนือของที่ดินโจทก์ ซึ่งมีความกว้างประมาณ ๕ เมตร ยาวประมาณ ๑๘๐ เมตร เป็นทางเดินสำหรับคนสัตว์พาหนะ รถเข็น ล้อเลื่อน รถยนต์ เครื่องจักรกลหรือวัตถุอย่างอื่น ผ่านเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกสู่ถนนนครสวรรค์โดยสงบ เปิดเผย เจตนาให้เป็นทางเดินติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว ที่ดินของจำเลยที่ ๑ ตกอยู่ในภาระจำยอม เมื่อประมาณวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๒ ในฐานะนายกสมาคมจำเลยที่ ๑ และในฐานะส่วนตัวได้ทำการก่อสร้างรั้วเป็นกำแพงคอนกรีตปิดตลอดแนวด้านทิศเหนือของที่ดินโจทก์ และเริ่มก่อสร้างรั้วด้านทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์ตลอดแนว กับทำประตูปิดกั้นบริเวณทางเข้าด้านถนนนครสวรรค์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ที่ดินของจำเลยที่ ๑ เป็นทางเดินผ่านเข้าออก เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนรั้วที่จำเลยได้สร้างขึ้นในบริเวณที่ดินของจำเลยอันตกอยู่ในภาระจำยอมออกและทำที่ดินให้กลับคืนสู่สภาพเดิมเพื่อความสะดวกแก่การใช้ภาระจำยอม และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อรั้วและทำที่ดินภาระจำยอมกลับคืนสู่สภาพเดิม
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินของจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ตกอยู่ในภาระจำยอม โจทก์เพิ่งจะใช้ที่ดินของจำเลยที่ ๑ เป็นทางผ่านเข้าออกเมื่อประมาณ ๒ – ๓ ปีมาแล้ว โจทก์ถือวิสาสะทำประตูทางด้านทิศเหนือของที่ดินโจทก์ และทำประตูทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์ เพื่อที่จะเก็บรถยนต์และวัสดุก่อสร้าง โจทก์ไม่ได้เสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ทางพิพาทเป็นทางผ่านเข้าออกในที่ดินของจำเลยที่ ๑ ที่ มีมาอยู่แต่เดิมแล้ว ก่อนที่โจทก์จะใช้ทางนี้เป็นทางผ่านเข้าออกจากที่ดินของโจทก์สู่ถนนนครสวรรค์ เดิมที่ดินของจำเลยที่ ๑ นั้นคณะพ่อค้าชาวจังหวัดมหาสารคามเป็นผู้ซื้อโดยใส่ชื่อนายน้อยหรือนพดลเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพื่อใช้เป็นที่ตั้งดรงเรียนจีน และเป็นที่แสดงงิ้วตามประเพณีอันเป็นการดำเนินกิจการเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านเข้าออก การที่โจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นทางผ่านเข้าออกได้ก็เนื่องจากว่านายน้อยหรือนพดลผู้มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นพี่ และโจทก์เป็นกรรมการคนหนึ่งในคณะกรรมการที่มีหน้าที่ดูแลที่ดิน การใช้ทางพิพาทของโจทก์เป็นการใช้ทางที่เจ้าของที่ดินใช้อยู่เป็นการใช้โดยอาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินนั้นเอง เพราะได้ความว่าที่ดินของโจทก์นอกจากมีตึกแถวซึ่งโจทก์ใช้เป็นสำนักงานประกอบการค้าอยู่ติดกับถนนนครสวรรค์แล้ว โจทก์ยังมีห้องแถวไม้อีก ๒ ห้องซึ่งโจทก์ใช้เก็บวัสดุก่อสร้าง ก็อยู่ติดกับถนนนครสวรรค์ และสามารถทะลุถึงโรงเก็บสินค้าด้านหลังได้การใช้ทางพิพาทในที่ดินจำเลย จึงเป็นเพียงเพื่อความสะดวกในการที่โจทก์ใช้เข้าประตูด้านหลังบ้าน โดยไม่ผ่านตึกแถวและห้องแถวของโจทก์เท่านั้น ตามพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยการถือวิสาสะ หาใช่เป็นการใช้สิทธิปรปักษ์ดังที่โจทก์ฎีกาไม่ แม้โจทก์จะใช้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยที่ ๑ ติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบปี ทางพิพาทก็ไม่ตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความ
พิพากษายืน.

Share