แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์แนบสำเนาโทรสารใบสั่งซื้อและใบส่งสินค้าไว้ท้ายฟ้อง เอกสารดังกล่าวจึงเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง เมื่อจำเลยมิได้ปฏิเสธว่าโทรสารใบสั่งซื้อและใบส่งสินค้าตามสำเนาท้ายฟ้องไม่ถูกต้อง ประกอบกับขณะที่โจทก์นำสืบสำเนาเอกสารดังกล่าวก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งคัดค้าน จึงถือได้ว่าจำเลยได้ยอมรับถึงการมีอยู่และความแท้จริงของต้นฉบับของเอกสารนั้น รวมทั้งยอมรับว่าสำเนานั้นถูกต้องกับต้นฉบับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 แล้ว ศาลย่อมรับฟังสำเนาโทรสารใบสั่งซื้อและใบส่งสินค้าเป็นพยานหลักฐานแห่งเอกสารนั้นได้ตามมาตรา 93(1)ไม่ใช่เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงว่าจ้างโจทก์ทำม้วนฟิล์มเจลฟี่หลายรายการเป็นเงินทั้งสิ้น 835,529.20 บาท โจทก์ส่งม้วนฟิล์มเจลฟี่ให้แก่จำเลยครบตามรายการแล้วครบกำหนดชำระเงินค่าจ้าง จำเลยเพิกเฉย จำเลยต้องรับผิดชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 42,963 บาท รวมเป็นเงิน 878,492.20 บาทขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 878,492.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 835,529.20 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ส่งมอบม้วนฟิล์มเจลฟี่ผิดไปจากรายการที่จำเลยสั่งทำให้จำเลยไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ครบถ้วน จำเลยเสนอให้โจทก์แก้ไขหรือคิดหักจำนวนฟิล์มที่ใช้ไม่ได้ แต่โจทก์ไม่ยินยอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 835,529.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 148,648.50 บาท นับแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2540ต้นเงิน 476,982 บาท นับแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2540 และต้นเงิน 209,898.70 บาทนับแต่วันที่ 11 มกราคม 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เฉพาะดอกเบี้ยทั้งหมดคิดถึงวันฟ้องให้ไม่เกิน 42,963 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังยุติได้ว่า จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ทำม้วนฟิล์มเจลฟี่หลายรายการเป็นเงิน 835,529.20 บาท ตกลงชำระค่าจ้างภายใน60 วัน นับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลย โจทก์ได้จัดทำม้วนฟิล์มเจลฟี่และส่งมอบให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2540 เป็นเงินค่าจ้าง 148,648.50 บาทวันที่ 21 ตุลาคม 2540 เป็นเงินค่าจ้าง 476,982 บาท และวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540เป็นเงินค่าจ้าง 209,898.70 บาท ครบกำหนดชำระเงินค่าจ้างแต่ละงวด จำเลยเพิกเฉยมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์ส่งมอบม้วนฟิล์มเจลฟี่ผิดจากรายการที่จำเลยสั่งหรือไม่ โจทก์มีนายสมศักดิ์ เอี่ยมรัตนชัยพร พนักงานบัญชีของโจทก์ และนายอภิโชติ ทองนิตย์ พนักงานขายของโจทก์เบิกความประกอบสำเนาโทรสารใบสั่งซื้อและสำเนาใบส่งสินค้าว่าโจทก์ได้ส่งมอบม้วนฟิล์มเจลฟี่ให้แก่จำเลยตรงตามรายการที่จำเลยจ้างทำแล้ว จำเลยมิได้นำพยานเข้าสืบหักล้างและก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าหลังจากที่จำเลยรับมอบม้วนฟิล์มเจลฟี่แล้ว จำเลยได้โต้แย้งความไม่ถูกต้องของม้วนฟิล์มเจลฟี่แก่โจทก์ ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าโจทก์ส่งมอบม้วนฟิล์มเจลฟี่ให้จำเลยตรงตามรายการที่จำเลยว่าจ้างโจทก์ ซึ่งโจทก์ไม่จำต้องนำตัวอย่างม้วนฟิล์มเจลฟี่ตามรายการในสำเนาโทรสารใบสั่งซื้อมาแสดงต่อศาลหรือนำบุคคลที่นำม้วนฟิล์มเจลฟี่ไปส่งให้จำเลยมาสืบอีกว่ามีการจัดส่งม้วนฟิล์มเจลฟี่ให้แก่จำเลยตรงตามรายการดังที่จำเลยฎีกา ในทางกลับกันหากปรากฏว่าม้วนฟิล์มเจลฟี่ที่โจทก์ส่งมอบให้แก่จำเลยไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ครบถ้วนตามที่จำเลยให้การต่อสู้ ก็เป็นภาระที่จำเลยจะต้องนำสืบถึงการไร้ประโยชน์ของม้วนฟิล์มเจลฟี่ให้ปรากฏแก่ศาลเพื่อที่จำเลยจะไม่ต้องใช้สินจ้างแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่สืบพยานนอกจากนี้แล้ว การที่จำเลยไม่ชำระเงินแก่โจทก์ตามใบวางบิลก็ไม่อาจตีความได้ว่าจำเลยโต้แย้งความไม่ถูกต้องของม้วนฟิล์มเจลฟี่ดังที่จำเลยฎีกา ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ส่งมอบม้วนฟิล์มเจลฟี่ให้แก่จำเลยครบถ้วนถูกต้องแล้ว จำเลยจึงต้องชำระสินจ้างแก่โจทก์ตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาอีกประการหนึ่งว่า โทรสารใบสั่งซื้อและใบส่งสินค้าเป็นเพียงสำเนาเอกสารต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานแห่งเอกสารนั้นได้ เห็นว่า โจทก์ได้แนบสำเนาโทรสารใบสั่งซื้อและใบส่งสินค้าไว้ท้ายฟ้อง เอกสารดังกล่าวจึงเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง เมื่อจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่าโทรสารใบสั่งซื้อและใบส่งสินค้าตามสำเนาท้ายฟ้องไม่ถูกต้อง ประกอบกับเมื่อโจทก์นำสืบสำเนาเอกสารดังกล่าวก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งคัดค้าน จึงถือได้ว่าจำเลยได้ยอมรับถึงการมีอยู่ของต้นฉบับและความแท้จริงของต้นฉบับของเอกสารนั้นรวมทั้งยอมรับว่าสำเนานั้นถูกต้องกับต้นฉบับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 แล้ว ศาลย่อมรับฟังสำเนาโทรสารใบสั่งซื้อและใบส่งสินค้าเป็นพยานหลักฐานแห่งเอกสารนั้นได้ตามมาตรา 93(1) ไม่ใช่เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน