คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2551/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เดิมโจทก์ทั้งสองอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายย.นางว.ต่อมานายย.ตาย เมื่อโจทก์ทั้งสองได้รับยกให้และซื้อที่ดินพิพาทจากนางว.โดยนางว.ทำการส่งมอบการครอบครองด้วยการแสดงเจตนา โจทก์ทั้งสองไม่ต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังนางว.การครอบครองของนางว.จึงเป็นอันสิ้นสุดลง โจทก์ทั้งสองไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้ยึดถือแทนนางว.อีกต่อไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1379 และ 1381 เมื่อโจทก์ทั้งสองครอบครองที่ดินต่อมาโดยการทำสวน ทำนา โดยสงบ โดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยจำเลยก็รู้ว่าโจทก์ทั้งสองครอบครองที่ดิน จำเลยไม่เคยเข้าไปเก็บมรรคผล เห็นได้ว่าจำเลยยอมรับสิทธิของโจทก์ทั้งสองที่จำเลยไปจดทะเบียนซื้อที่ดินจากนางว. จึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต โจทก์ทั้งสองย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามป.พ.พ. มาตรา 1382.

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยากัน โจทก์ที่ 2เป็นบุตรของนายอยู่ นางวัง แก้วเล็ก ซึ่งเดิมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 5942 ตำบลโพทะเล อำเภอค่ายบางระจัน(บางระจัน) จังหวัดสิงห์บุรี เนื้อที่ 44 ไร่ 3 งาน 8 3/10 ตารางวาเมื่อประมาณ 23 ปีมานี้ นายอยู่ นางวัง ให้โจทก์ทั้งสองถากถางทำกินในที่ดินดังกล่าว เนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน ต่อมาเมื่อปี 2516นางวังได้พูดยกที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสอง โดยให้โจทก์ทั้งสองออกเงินไถ่ถอนการจำนองจากนางจินใจ๋ วัฒนสารวิชช์ เมื่อปี 2517ทางราชการได้จัดรูปที่ดิน ที่ดินของนางวังเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน จึงมาอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองได้ซื้อที่ดินดังกล่าวนี้จากนางวังในราคา 3,000 บาท แต่การยกให้และซื้อขายมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นางวังได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินให้โจทก์เข้าครอบครองมาโดยความสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ต่อมาเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2529 จำเลยได้ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงนางวังซึ่งมีอายุมากและความจำเสื่อมให้ไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของนางวังให้แก่จำเลยโดยไม่สุจริต และไม่มีค่าตอบแทนจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าโจทก์ได้รับการยกให้และซื้อที่ดินดังกล่าวส่วนของนางวัง เนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน และได้แบ่งแยกการครอบครองออกเป็นสัดส่วนแล้ว จึงขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 5942ตำบลโพทะเล อำเภอค่ายบางระจัน (บางระจัน) จังหวัดสิงห์บุรี เฉพาะส่วนที่นางวังจดทะเบียนโอนขายให้จำเลยเนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน ตามแผนที่ท้ายฟ้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองโดยการครอบครองตามกฎหมาย ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสองหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า นายอยู่ นางวัง ไม่เคยให้โจทก์ทั้งสองถากถางทำกินในที่ดิน เนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน และนางวังไม่เคยพูดยกที่ดินดังกล่าวที่โจทก์ทั้งสองครอบครองอยู่และไม่เคยแบ่งขายที่ดิน เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน ให้แก่โจทก์ทั้งสอง การที่โจทก์ทั้งสองเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวเนื้อที่ 5 ไร่ 2 งานก็โดยอาศัยนางวัง โจทก์ทั้งสองจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2529 นางวังได้โอนขายที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลย จำเลยจึงไม่ประสงค์ให้โจทก์ทั้งสองปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินของจำเลยอีกต่อไป จึงขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาทกับไม่ให้โจทก์และบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นางวังได้ยกให้และโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสอง และโจทก์ทั้งสองได้ครอบครองมาโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วโจทก์ทั้งสองจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 5942 ตำบลโพทะเลอำเภอค่ายบางระจัน (บางระจัน) จังหวัดสิงห์บุรี เฉพาะส่วนที่นางวังแก้วเล็ก จดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลย ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ให้โจทก์ทั้งสองรื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 5942ที่พิพาท ห้ามโจทก์ทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องต่อไป
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 5942 ตำบลโพธิ์ทะเล อำเภอบางระจันจังหวัดสิงห์บุรี เฉพาะส่วนของนางวัง แก้วเล็ก ที่จดทะเบียนขายให้แก่จำเลยส่วนหนึ่งจำนวนเนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน ตามเส้นดำหมายสีแดงด้านทิศใต้ในแผนที่วิวาท เอกสารหมาย จ.5 โจทก์ทั้งสองได้ปลูกบ้านอยู่อาศัย ทำนา ทำสวน มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ทั้งสองว่าโจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทหรือไม่ โจทก์ทั้งสองมีตัวโจทก์ทั้งสองเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า เมื่อปี 2516นางวังได้พูดยกให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 5942 เนื้อที่ 4 ไร่ 1 งานให้โจทก์ทั้งสองโดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มีข้อแม้ว่าโจทก์ทั้งสองต้องไปไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าวจากนางจินใจ๋ วัฒนสารวิชช์ จำนวน 1,500 บาท ตามภาพถ่ายหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเฉพาะส่วนเอกสารหมาย จ.4นางวังได้ส่งมอบการครอบครองที่ดิน แล้วต่อมาปี 2517 ทางราชการจัดรูปที่ดินใหม่โดยรวมที่ดินแปลงที่โจทก์ทั้งสองครอบครองเนื้อที่4 ไร่ 1 งาน เข้ากับที่ดินของนางวังเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน ซึ่งอยู่ติดกันทำให้ที่ดินแปลงใหม่มีเนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน นางวังจะขายที่ดินส่วนดังกล่าวของนางวังให้แก่นายพริ้ง วงษ์สุวรรณ ในราคา 3,000 บาทแต่ในที่สุดนางวังตกลงขายให้แก่โจทก์ทั้งสองราคา 3,000 บาทโจทก์ทั้งสองชำระเงินให้แก่นางวังเรียบร้อยแล้ว นางวังส่งมอบที่ดินให้โจทก์ทั้งสองครอบครองรวมเนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน โจทก์ทั้งสองใช้ที่ดินดังกล่าวทำนาเนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน ส่วนที่เหลือใช้ปลูกบ้านและทำสวนไม่เคยมีผู้ใดมาโต้แย้งคัดค้าน นางจินใจ๋วัฒนสารวิชช์ พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความว่า นายอยู่กู้ยืมเงินจากพยานนำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันในวงเงิน 1,500 บาทตามภาพถ่ายหนังสือสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.4 ต่อมาโจทก์ที่ 2นำเงินไปไถ่ถอนจำนองเมื่อปี 2521 พยานได้สลักหลังสัญญาจำนองให้โจทก์ที่ 2 ปรากฏตามสำเนาบันทึกหลังสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.4นายพริ้ง วงษ์สุวรรณ พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความว่า ที่ดินที่โจทก์ทั้งสองปลูกบ้านเดิมเป็นของนายอยู่ นางวัง เมื่อทางราชการจัดรูปที่ดินแล้วที่ดินดังกล่าวอยู่ด้านใต้ของถนน ส่วนที่ดินด้านเหนือโจทก์ทั้งสองทำสวน ปลูกไม้ยืนต้นมานานประมาณ 10 กว่าปี ที่ดินของนางวังอยู่ติดกับที่ดินโจทก์ทั้งสองทางทิศตะวันออกเนื้อที่ประมาณ 1ไร่ 1 งาน นางวังบอกขายพยานราคา 5,500 บาท พยานตกลงซื้อแต่โจทก์ที่ 2 มาบอกพยานขอซื้อที่ดินแทน พยานจึงไม่ได้ซื้อที่ดินจากนางวัง แต่เห็นโจทก์ทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินที่ซื้อจากนางวังนาน 10 กว่าปี โดยความสงบ โดยเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ นายทอง แก้วเล็ก พยานโจทก์ทั้งสองอีกปากหนึ่งเบิกความว่า พยานเป็นน้องของโจทก์ที่ 2 และเป็นพี่ชายของจำเลยในวันทำบุญครบ 100 วัน ของนายอยู่ นางวัง ได้พูดยกที่ดินแปลงดังกล่าวเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน ให้แก่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นที่ดินที่โจทก์ทั้งสองใช้ปลูกบ้านอยู่แล้ว ขณะนั้นบุตรทุกคนได้รู้เห็น แต่โจทก์ทั้งสองต้องนำเงินไปไถ่ถอนการจำนองจากนางจินใจ๋ต่อมาทางราชการได้จัดรูปที่ดินที่ดินของนางวังเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน ไปติดอยู่กับที่ดินของโจทก์ทั้งสองนางวังต้องการขายให้แก่นายพริ้ง แต่โจทก์ที่ 2 ขอซื้อที่ดินดังกล่าวจากนางวังในราคา 3,000 บาทการยกให้และการซื้อขายไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์ทั้งสองได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวกว่า 10 ปี ไม่มีผู้ใดเข้าไปโต้แย้งคัดค้าน ส่วนพยานจำเลยคงมีตัวจำเลยกับนายสำราญอวยพร สามีจำเลยเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่านางวังขายที่ดินพิพาทด้านใต้ปรากฏตามรูปแผนที่ เอกสารหมาย จ.8 ที่โจทก์ทั้งสองครอบครองให้แก่จำเลย จำเลยทราบดีว่าโจทก์ทั้งสองครอบครองที่ดินอยู่ต้นขนุน มะม่วง ฝรั่ง ที่โจทก์ทั้งสองปลูกไว้เก็บมรรคผลได้แล้วจำเลยไม่เคยไปเก็บมรรคผล นางวังไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสอง นายวิศิษฏ์ พัวสุภานุทัต พยานจำเลยปากหนึ่งเบิกความว่าพยานรับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสิงห์บุรีตามสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย ล.3 พยานเป็นผู้ลงชื่อเป็นผู้จดทะเบียนการซื้อขายให้ พยานไม่ได้สงสัยในเรื่องความสามารถและความสมบูรณ์ของนิติกรรม เจ้าของบ้าน 5 หลัง เข้ามาอยู่ในที่ดินดังกล่าวได้อย่างไรไม่ทราบและไม่ได้สอบสวนไว้ ศาลฎีกาเห็นว่า นางจินใจ๋ นายพริ้ง และนายทองไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ทั้งสองและจำเลยจึงเป็นพยานคนกลางที่เชื่อถือได้ว่า พยานได้เบิกความตามจริง พยานหลักฐานโจทก์ทั้งสองจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อส่วนพยานจำเลยซึ่งมีตัวจำเลยและนายสำราญ สามีจำเลยเบิกความลอย ๆ ไม่มีเหตุผล และนายวิศิษฎ์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ก็ไม่ได้สอบสวนปากคำนางวังให้ปรากฏว่า เจ้าของบ้าน 5 หลังในที่ดินพิพาทเข้าไปอยู่ในที่ดินพิพาทได้อย่างไร พยานจำเลยจึงมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานโจทก์ทั้งสอง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นางวังได้ยกให้และขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการยกให้และซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นางวังได้ส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสองเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลากว่า 10 ปี แม้ว่าเดิมโจทก์ทั้งสองอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายอยู่ นางวังยึดถือครอบครองแทนบุคคลทั้งสอง เมื่อโจทก์ทั้งสองได้รับยกให้และซื้อที่ดินพิพาทจากนางวังโดยนางวังทำการส่งมอบการครอบครองด้วยการแสดงเจตนา โจทก์ทั้งสองไม่ต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังนางวังการครอบครองของนางวังจึงเป็นอันสิ้นสุดลง โจทก์ทั้งสองไม่ตกอยู่ในฐานะเป็นผู้ยึดถือแทนนางวังอีกต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1379 และ 1381 และการที่โจทก์ทั้งสองครอบครองที่ดินโดยการทำสวน ทำนา ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านปลูกไม้ยืนต้นเป็นแนวเขตปรากฏรายละเอียดตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2530ซึ่งศาลชั้นต้นได้ออกไปเดินเผชิญสืบที่ดินพิพาท และจำเลยก็รู้ว่าโจทก์ทั้งสองครอบครองที่ดินจำเลยไม่เคยเข้าไปเก็บมรรคผล เห็นได้ว่าจำเลยยอมรับสิทธิของโจทก์ทั้งสองดังนั้นที่จำเลยไปจดทะเบียนซื้อที่ดินจากนางวังจึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตโจทก์ทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โจทก์ทั้งสองย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share