แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เงินได้ที่โจทก์ได้รับครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานนั้นมีวิธีการคำนวณจ่ายตามระเบียบของบริษัทผู้เป็นนายจ้าง แตกต่างจากวิธีการคำนวณบำเหน็จบำนาญ การคำนวณหาเงินได้พึงประเมินที่จะถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสามจึงต้องเป็นไปตามข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) เรื่องกำหนดระเบียบการคำนวณเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานโดยคำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงานที่ใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้พึงประเมินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานไม่ว่าจะเป็นเงินได้ ตามมาตรา 40(1) หรือ (2) แห่งประมวลรัษฎากรก็ตาม ต้องนำมาคำนวณหาเงินได้พึงประเมินที่ใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากรทั้งสิ้น ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) คำว่าเงินได้สำหรับระยะเวลาเต็มเดือนเดือนสุดท้าย และเงินได้รายเดือนถัวเฉลี่ย ของ 12 เดือน สุดท้ายก่อนออกจากงาน ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) หมายความถึงเงินได้ที่ได้รับในระยะเวลาดังกล่าวทั้งหมดมิได้หมายความถึงเฉพาะเงินเดือนซึ่งเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากรเพียงอย่างเดียว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2496จนกระทั่งออกจากงานเนื่องจากเกษียณอายุในปี 2527 บริษัทฯ ได้จ่ายเงินให้แก่โจทก์ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน 1,199,725 บาทและโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาสำหรับ พ.ศ. 2528 ให้จำเลยถูกต้องแล้ว แต่เจ้าพนักงานของจำเลยเห็นว่าโจทก์คำนวณเสียภาษีไม่ถูกต้อง จึงแจ้งให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มรวมทั้งเงินเพิ่มเป็นเงิน 94,083 บาท โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ การประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ถูกต้อง ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว
จำเลยให้การว่า โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2528 เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ถูกต้องตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสาม และประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 10 มีนาคม 2518 การประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า เงินได้ที่โจทก์ได้รับจากบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด ครั้งเดียว เพราะเหตุออกจากงานจำนวน 1,199,725 บาท นั้น มีวิธีการคำนวณจ่ายตามระเบียบของบริษัทผู้เป็นนายจ้างแตกต่างจากวิธีการคำนวณบำเหน็จบำนาญ การคำนวณหาเงินได้พึงประเมินที่จะถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าใช้จ่ายจึงต้องเป็นไปตาม ข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) ดังกล่าว กล่าวคือ โจทก์สามารถนำเงินได้พึงประเมินที่ได้รับมาหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสามแห่งประมวลรัษฎากร ได้เท่ากับจำนวนที่นายจ้างจ่ายให้ แต่ต้องไม่เกินเงินได้สำหรับระยะเวลาเต็มเดือนสุดท้าย คูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน และเงินได้สำหรับระยะเวลาเต็มเดือนเดือนสุดท้ายดังกล่าวจะต้องไม่เกินเงินได้รายเดือนถัวเฉลี่ยของ 12 เดือน สุดท้ายก่อนออกจากงานบวกด้วยร้อยละ 10 ของเงินเดือนถัวเฉลี่ยนั้น โจทก์อ้างว่าเงินได้สำหรับระยะเวลาเต็มเดือนสุดท้าย และเงินได้รายเดือนถัวเฉลี่ยของ 12 เดือนสุดท้ายก่อนออกจากงานตามประกาศดังกล่าวหมายถึงเงินได้ที่โจทก์ได้รับจริงในระยะเวลาดังกล่าวทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) หรือ (2) แห่งประมวลรัษฎากรก็ตาม ส่วนจำเลยอ้างว่าเงินได้สำหรับระยะเวลาเต็มเดือนเดือนสุดท้าย และเงินได้รายเดือนถัวเฉลี่ยหมายถึงเฉพาะเงินเดือนที่โจทก์ได้รับในระยะเวลาดังกล่าวเพียงอย่างเดียวเท่านั้นโดยไม่รวมถึงเงินได้อื่นเห็นว่า เงินได้พึงประเมินที่นายจ้างจ่ายใหโจทก์ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานไม่ว่าจะเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(1) หรือ (2) แห่งประมวลรัษฎากรก็ตาม ก็จะต้องนำมาคำนวณหาเงินได้พึงประเมินที่ใช้เกณฑ์การคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา42ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากรทั้งสิ้น ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) ทั้งตามประกาศดังกล่าวมิได้ใช้คำว่า เงินเดือน แต่ใช้คำว่าเงินได้ ดังนั้น คำว่าเงินได้สำหรับระยะเวลาเต็มเดือนสุดท้ายและเงินได้รายเดือนถัวเฉลี่ยของ 12 เดือนสุดท้ายก่อนออกจากงานจึงหมายความถึงเงินได้ที่โจทก์ได้รับภายในระยะเวลาดังกล่าวทั้งหมด มิได้หมายความถึงเฉพาะเงินเดือนซึ่งเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากรเพียงอย่างเดียวตามที่จำเลยอ้าง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์มีเงินได้สำหรับระยะเวลาเต็มเดือนสุดท้ายเป็นเงิน 55,771 บาทเกินกว่าเงินได้รายเดือนถัวเฉลี่ยของ 12 เดือนสุดท้ายก่อนออกจากงานบวกด้วยร้อยละ 10 ของเงินถัวเฉลี่ยนั้น ซึ่งคำนวณได้เป็นเงิน39,255.43 บาท จึงต้องถือว่าเงินได้สำหรับระยะเวลาเต็มเดือนสุดท้ายที่จะนำมาคูณด้วย 31 ซึ่งเป็นจำนวนปีที่โจทก์ทำงานเพื่อหาจำนวนเงินได้พึงประเมินที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฏากรนั้นเท่ากับ39,255.43 บาท แต่เมื่อคำนวณแล้วได้ผลลัพธ์เท่ากับ 1,216,918.33 บาเกินกว่าจำนวนเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้แก่โจทก์ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน โจทก์จึงมีสิทธินำเงินได้พึงประเมินที่นายจ้างจ่ายให้เพราะเหตุออกจากงานจำนวน 1,199,725 บาท มาหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ได้หมดทั้งจำนวนตามข้อ 3 วรรคหนึ่ง แห่งประกาศอธิบดีกรมสรรพากรว่าด้วยภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 2) ดังกล่าว ปรากฏว่าเงินได้ที่โจทก์ถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าใช้จ่ายตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2528 เอกสารหมาย จ.2 เป็นเงิน 1,187,285.02 บาท น้อยกว่าจำนวนที่นายจ้างจ่ายให้ การคำนวณค่าใช้จ่ายของโจทก์ตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ดังกล่าวจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน.