แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายมีภรรยา 2 คนเมื่อศาลพิพากษาแบ่งมฤดกศาลได้แบ่งเงินไว้เป็นสินสมรสส่วนของภรรยาไว้ ภรรยาคน 1 มาฟ้องแบ่งสินสมรสนั้นกึ่ง 1 โดยกล่าวอ้างคำพิพากษาในคดีก่อนด้วย แม้ไม่ระบุตนมีสินเดิม ก็นำสืบได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นางแสงนางพั้ง เป็นภรรยานายกิมชุนตายแล้ว เมื่อคราวนางสาวเจือฟ้องแบ่งมฤดกนายกิมชุนจากจำเลย ศาลพิพากษาแบ่งสินสมรสเป็น ๓ ส่วน ตกเป็นมฤดกของนายกิมชุน ๒ ส่วน ให้เอามฤดกนายกิมชุนแบ่งเป็น ๒ ภาคคือภาคภรรยาและบุตร์ตามคดีแพ่งแดงที่ ๑๒๗/๒๔๘๕ เงินส่วนสมรสของภรรยานายกิมชุน ๓๙๑๘ บาง ๙๑ สตางค์ยังมิได้แบ่งปันระหว่างภรรยาของนายกิมชุน เงินนี้ตกแก่นางแสงและนางพั้งคนละครึ่ง เงินนี้ตกอยู่ที่จำเลย จึงขอให้จำเลยส่งเงิน ๑๙๖๔ บาท +๕ สตางค์กับดอกเบี้ย
จำเลยให้การต่อสู้หลายประการ
โจทก์ขอสืบพะยานว่า มีสินเดิมมาอยู่กับนายกิมชุนจำเลยคัดค้านว่าโจทก์สืบไม่ได้ เพราะไม่ได้กล่าวมาในฟ้อง
ศาลชั้นต้นสืบพะยานแล้วให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้โจทก์ได้สินสมรส ๑ ใน ๓ ของเงิน ๒๙๘๒ บาท ๙๑ สตางค์
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้องว่ามีสินเดิมมาอยู่กับนายกิมชุน จึงชนะคดีไม่ได้
ศาลฎีกาตัดสินว่า โจทก์กล่าวในฟ้องว่าเงินนี้เป็นเงินที่ปรากฎตามคำพิพากษาในคดีแดงที่ ๑๒๗/๘๕ ว่าเป็นสินสมรสระหว่างนายกิมชุนกับภรรยาซึ่งยังมิได้แบ่งกัน เป็นทำนองว่าศาลเปิดโอกาศให้โจทก์มาว่ากล่าว โจทก์จึงมาฟ้องแบ่งโดยอ้างว่ามีส่วนร่วมกับนางแสงมารดาจำเลยคนละกึ่ง ดั่งนี้พออนุมานได้ว่าโจทก์ต้องมีสินเดิม จึงมีสิทธิในสมรสจำเลยก็คงเข้าใจเช่นนั้นจึงแก้ฟ้องว่าโจทก์ไม่สินเดิม จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์