แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน รถของโจทก์และรถของจำเลยต่างแล่นเร็วจะสวนกันบริเวณทางโค้งโดยรถของโจทก์อยู่โค้งด้านนอก แต่รถของโจทก์แล่นล้ำเส้นกึ่งกลางถนนเข้าไปชนกับรถของจำเลย ซึ่งแล่นอยู่ในเส้นทางของตนโดยเปิดไฟหน้าซ้ายข้างเดียว ถือได้ว่าเหตุที่รถขนกันเป็นเพราะความประมาทของผู้ขับรถทั้งสองฝ่ายโดยคนขับรถของโจทก์เป็นฝ่ายที่ก่อให้เกิดความประมาทมากกว่า ค่าเสียหายของโจทก์จึงตกเป็นพับ
ผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บและทายาทของผู้โดยสารที่เสียชีวิต มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากฝ่ายโจทก์ผู้กระทำละเมิดโดยตรง การที่จำเลยจ่ายเสียหายไปโดยไม่มีกฎหมายให้สิทธิที่จะเรียกคืนจากผู้กระทำละเมิด จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายที่จ่ายไปเองจากโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการเดินรถโดยสารประจำทาง เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๑๗ เวลาประมาณ ๑๙.๓๐ นาฬิกา นายบุญช่วย มั่นโพนทอง ลูกจ้างของจำเลยได้ขับรถโดยสารด้วยความประมาท โดยขับรถเร็วกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและขับล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนชนรถโดยสารของโจทก์ซึ่งแล่นสวนทางมา เป็นเหตุให้มีคนตาย และบาดเจ็บ รถของโจทก์เสียหายและโจทก์ต้องขาดผลประโยชน์ในการใช้รถรับส่งคนโดยสารขอเรียกค่าเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๐๗,๔๔๓ บาท ๔๕ สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เหตุรถชนกันเกิดขึ้นเพราะความประมาทของคนขับรถของโจทก์ โดยรถของโจทก์แล่นเร็วและล้ำเส้นเข้าไปในเส้นทางเดินรถของจำเลย รถของจำเลยเสียหายและจำเลยขาดผลประโยชน์ในการใช้รถ กับจำเลยได้จ่ายเงินให้แก่ผู้โดยสารที่บาดเจ็บและตาย ขอเรียกค่าเสียหายจากโจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๘๗,๓๗๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
โจทก์ให้การฟ้องแย้งว่า คนขับรถของจำเลยเป็นฝ่ายประมาท ค่าเสียหายของรถจำเลยมีจำนวนไม่ถึงตามคำให้การและฟ้องแย้ง เงินที่จำเลยจ่ายแก่ผู้โดยสารที่บาดเจ็บหรือตายนั้น โจทก์ไม่รู้เห็นด้วย จำเลยไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาจากโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งจำเลย
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า รถของทั้งสองฝ่ายต่างขับรถผ่านทางโค้งด้วยความเร็วโดยรถของโจทก์แล่นล้ำเส้นกึ่งกลางถนน ส่วนรถของจำเลยแล่นอยู่ในเส้นทางของตนแต่เปิดไฟหน้าซ้ายข้างเดียว เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันชนกัน แล้ววินิจฉัยว่าถือได้ว่าเหตุที่รถทั้งสองคันชนกันเป็นเพราะความประมาทของผู้ขับรถทั้งสองฝ่าย และแม้รถของจำเลยจะเปิดไฟหน้าข้างซ้านเพียงดวงเดียวทำให้คนขับรถของโจทก์เข้าใจผิดว่าเป็นรถจักรยานยนต์ขับสวนมาจึงหักหลบไม่ทัน แต่หากคนขับรถของโจทก์ใช้ความระมัดระวังขับรถผ่านทางโค้งในเส้นทางของตนแล้ว เหตุชนกันก็จะไม่เกิดขึ้น ต้องถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายที่ก่อให้เกิดความประมาทมากกว่า ค่าเสียหายของโจทก์จึงต้องตกเป็นพับจะเรียกร้องจากจำเลยไม่ได้ ส่วนค่าเสียหายของฝ่ายจำเลยนั้นให้โจทก์รับผิดสองในสามส่วน
””””””””””’ สำหรับค่าเสียหายซึ่งจำเลยจ่ายแก่ผู้โดยสารที่บาดเจ็บและถึงแก่ความตายนั้น กรณีเป็นเรื่องผู้ขับรถยนต์โดยสารของโจทก์กระทำละเมิดต่อผู้โดยสารโดยตรงผู้ที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจึงได้แก่ผู้ที่ถูกกระทำละเมิด คือผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บและทายาทของผู้โดยสารที่เสียชีวิต ไม่มีกฎหมายให้สิทธิแก่ผู้จ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู้ถูกละเมิดที่จะเรียกค่าเสียหายนั้นคืนจากผู้กระทำละเมิด ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่ของการรับช่วงสิทธิหรือในแง่ของสิทธิรับขน ค่าเสียหายส่วนนี้จำเลยไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเอากับโจทก์
ส่วนค่าเสียหายสำหรับรถโดยสารของจำเลยจะต้องคิดค่าเสื่อมราคาในอัตราร้อยละ ๑๐ อย่างเดียวกับที่โจทก์นำสืบ จำเลยซื้อรถมาราคา ๑๕๐,๐๐๐ บาท ใช้มาแล้ว ๒ ปี จึงมีราคา ๑๒๐,๐๐๐ บาท หักเงินที่ขายซากรถเป็นจำนวน ๕,๐๐๐ บาทออกเหลือราคารถ ๑๑๕,๐๐๐ บาท สำหรับเงินค่าขาดผลประโยชน์คิดให้ตามฟ้องแย้งเป็นเงิน ๖๓,๔๐๐ บาท รวมเป็นค่าเสียหายของจำเลยทั้งสิ้น ๑๗๘,๔๐๐ บาท โจทก์ต้องรับผิดสองในสามส่วน จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นเงิน ๑๑๘,๙๓๓ บาท
พิพากษาแก้ ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นเงิน ๑๑๘,๙๓๓ บาท ให้โจทก์ใช้ค่าธรรมเนียมเท่าที่ชนะทั้งสามศาลแก่จำเลย ค่าทนายความให้เป็นพับนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์