คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2534/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 4 ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า “ขาย” ว่าหมายถึง จำหน่าย จ่ายแจก แลกเปลี่ยน ส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย เพราะฉะนั้นการขายหรือมีไว้เพื่อขายตามพระราชบัญญัตินี้ จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันจำเลยขายวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเมทแอมเฟตามีนให้สายลับ 1 เม็ด และต่อมาในเวลาใกล้เคียงกันตรวจค้นได้จากจำเลยอีก 15 เม็ดวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวทั้ง 16 เม็ด จึงเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในเวลาเดียวกันต่อเนื่องกันการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวคือการขาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13, 62, 89, 106, 116ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520) เรื่องระบุชื่อและจัดแบ่งประเภทวัตถุออกฤทธิ์ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ลงวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2520ประเภท 2 ข้อ 3 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4ริบยาม้าของกลาง ธนบัตรของกลางคืนเจ้าของ จำเลยให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดต่อพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ฐานขายและมีไว้ในครอบครอง เมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ ตามมาตรา 13 ประกอบมาตรา 89และตามมาตรา 62 ประกอบมาตรา 106 รวม 2 กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ที่แก้ไขแล้วฐานขายลงโทษจำคุก 5 ปี ฐานมีไว้ในครอบครองลงโทษจำคุก 6 เดือน รวมจำคุก5 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงเหลือจำคุก 2 ปี 9 เดือนริบของกลาง ส่วนธนบัตรของกลางคืนเจ้าของ จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเมทแอมเฟตามีน ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 วรรคหนึ่ง, 89 เพียงกระทงเดียวจำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปรากฏว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานขายและมีไว้ในครอบครองเมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์เป็น2 กระทงความผิด ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยกระทำผิดกรรมเดียวผิดต่อบทกฎหมายหลายบท และให้ลงโทษฐานขายวัตถุออกฤทธิ์เมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงกระทงเดียว เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน5 ปี คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 วรรคแรก คงมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมายขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเพียงว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ได้บัญญัติห้ามผลิต ขายนำเข้า หรือส่งออก ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือประเภท 2 และมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 89 และมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า “ขาย” ว่าหมายความรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจกแลกเปลี่ยน ส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย ฉะนั้นการขายหรือมีไว้เพื่อขายตามนัยแห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันจากข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาได้ความว่า จำเลยขายวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเมทแอมเฟตามีนให้สายลับ 1 เม็ด และต่อมาในเวลาใกล้เคียงกันตรวจค้นได้จากจำเลยอีก 15 เม็ด วัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวทั้ง 16 เม็ดจึงเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในวันเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวคือการขายนั่นเอง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share