คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2530/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกาว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของโดยความสงบเปิดเผยเพื่อตนเป็นเวลากว่า 10 ปีจึงอยู่ในฐานะที่เป็นผู้มีสิทธิจดทะเบียนได้ตลอดเวลาและทายาทอื่นหมดสิทธิไปแล้ว ภายหลังเจ้ามรดกตาย ไปกว่า 1 ปีซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ยกขึ้นวินิจฉัยนั้น เมื่อผู้ร้องมิได้กล่าวไว้ในคำร้องขัดทรัพย์ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งแปดใช้เงินแก่โจทก์ ตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทั้งแปดทำไว้กับโจทก์ โดยจะชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 1 ปีนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ต่อมาจำเลยทั้งแปดไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอบังคับคดีโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดิน ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนางดี มโนคำ ตกได้แก่จำเลยที่ 4ส่วนหนึ่ง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องผู้ร้องไปติดต่อเจ้าพนักงานที่ดินจึงทราบว่าศาลได้มีคำสั่งยึดที่ดินพิพาท โดยโจทก์เป็นผู้นำยึดขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า ที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดเดิมเป็นของนางดีมโนคำ ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยที่ 4 ผู้ร้องและบุคคลอื่น ๆ อีก 2 คนเมื่อนางดีถึงแก่ความตาย ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นมรดกแก่จำเลยที่ 4หนึ่งในสี่ ผู้ร้องไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียวขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 4 มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนหนึ่ง ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพากษายกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของโดยความสงบเปิดเผยเพื่อตนมาเป็นเวลากว่า10 ปี จึงอยู่ในฐานะที่เป็นผู้มีสิทธิจดทะเบียนได้ตลอดเวลา และทายาทอื่นหมดสิทธิไปแล้วภายหลังเจ้ามรดกตายไปกว่า 1 ปี ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ยกขึ้นวินิจฉัยนั้น ผู้ร้องมิได้กล่าวไว้ในคำร้องขัดทรัพย์ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share