คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2528/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินราคา1,200,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกแก่โจทก์ทั้งสามคนละส่วนรวม 3 ส่วน ใน 6 ส่วน แม้โจทก์ทั้งสามจะฟ้องรวมกันมา การอุทธรณ์ฎีกาของจำเลยก็ต้องถือทุนทรัพย์ตามทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะตน เมื่อที่ดินพิพาทแต่ละส่วนที่โจทก์แต่ละคนฟ้องขอแบ่งมีราคาไม่เกิน 200,000 บาท ราคาทรัพย์สินหรือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสำหรับจำเลยต่อโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 จำเลย นางสว่าง ชัยสมัคร นางเกิดชัยสมัคร และนายคง ชัยสมัคร เป็นบุตรของนายเฉื่อย ชัยสมัคร โจทก์ที่ 3 เป็นบุตรนายคงซึ่งถึงแก่ความตายเมื่อปี 2503 ระหว่างมีชีวิตอยู่นายเฉื่อยมีที่ดิน 1 แปลง มีหลักฐานเป็น ส.ค.1 เลขที่ 197 เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ ราคาประมาณ 1,200,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 17กรกฎาคม 2505 นายเฉื่อยถึงแก่ความตาย ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 จำเลย นางสว่าง นางเกิดและโจทก์ที่ 3 ในฐานะผู้รับมรดกแทนที่นายคงคนละส่วนเท่า ๆ กันโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกไว้แทนทายาทอื่นจนถึงปัจจุบันโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ต่อมาจำเลยได้ขอออกโฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นชื่อของตนเอง โฉนดเลขที่ 64258 เลขที่ดิน1062 และไม่ยอมแบ่งทรัพย์มรดกแก่ทายาทของนายเฉื่อยการขอออกโฉนดที่ดินของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งทรัพย์มรดกที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 197 ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ แก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยและบุตรของนายเฉื่อยอีก 2 คน คนละส่วนเท่า ๆ กัน หากไม่สามารถแบ่งปันทรัพย์มรดกดังกล่าวได้ ให้นำทรัพย์มรดกออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันคนละส่วนเท่า ๆ กัน และให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่64258 เลขที่ดิน 1062 ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์จังหวัดบุรีรัมย์

จำเลยให้การว่า ที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 197 และที่ดินตามโฉนดเลขที่ 64258 เป็นที่ดินคนละแปลง ที่ดินตามโฉนดเลขที่ดังกล่าวมิใช่ทรัพย์มรดกของนายเฉื่อย ชัยสมัคร แต่จำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์จากผู้มีชื่อโดยสุจริตและถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่ปี 2514 และครอบครองทำประโยชน์เพื่อตนตลอดมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี ต่อมาเมื่อปี 2534 จำเลยขอออกโฉนดที่ดินดังกล่าวโดยปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ โจทก์ทั้งสามไม่คัดค้านจึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการขอออกโฉนดที่ดิน จำเลยอนุญาตให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ทำนาในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2533ตลอดมา จนถึงปี 2538 ได้แจ้งให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เลิกทำนาจำเลยและทายาทของนายเฉื่อยไม่เคยมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ครอบครองแทนหากฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกเมื่อจำเลยครอบครองมาเกินกว่า 10 ปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกทรัพย์มรดกตามโฉนดที่ดินเลขที่ 64258 เลขที่ดิน 1062 ตำบลอิสาณอำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ให้แก่โจทก์ทั้งสาม จำเลย นางสว่าง ชัยสมัคร และนางเกิด ชัยสมัคร คนละหนึ่งส่วนเท่า ๆ กันถ้าการแบ่งไม่อาจทำได้ให้นำทรัพย์มรดกออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันคนละส่วนเท่า ๆ กัน คำขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่64258 ให้ยก เนื่องจากไม่ปรากฏว่าโฉนดที่ดินพิพาทออกไม่ชอบด้วยกฎหมายและศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนทายาทอื่น

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกแก่โจทก์ทั้งสามคนละส่วนรวม3 ส่วน ใน 6 ส่วน คิดเป็นเงินรวม 1,200,000 บาท ดังนี้ แม้โจทก์ทั้งสามจะฟ้องรวมกันมา การอุทธรณ์ฎีกาของจำเลยก็ต้องถือทุนทรัพย์ตามทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะตน เมื่อที่ดินพิพาท 3 ส่วน ที่โจทก์ทั้งสามตีราคาเป็นทุนทรัพย์รวมกันมานั้นมีราคา 1,200,000 บาท ที่ดินพิพาทแต่ละส่วนที่โจทก์แต่ละคนฟ้องขอแบ่งจึงมีราคาไม่เกิน 200,000 บาท ดังนั้นราคาทรัพย์สินหรือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสำหรับจำเลยต่อโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 ฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกที่จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดก จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวแม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาขึ้นมาก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”

พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share