คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2526/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่าทางพิพาทไม่ได้เป็นทางภารจำยอม ห้ามจำเลยและบริวารใช้ทางพิพาท แต่เมื่อทางสาธารณะนั้นประชาชนทุกคนมีสิทธิใช้ได้ บุคคลใดก็ไม่มีอำนาจห้ามบุคคลอื่นใช้ทางสาธารณะ ดังนั้นแม้จำเลยจะสละข้อต่อสู้ที่ว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะไปแล้ว คงต่อสู้ว่าถนนพิพาทเป็นทางภารจำยอมเพียงประเด็นเดียวก็ตามหากข้อเท็จจริงปรากฏว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะได้ หาเป็นการนอกประเด็นไม่ นอกจากอาจารย์โรงเรียนประมาณ 200 คน และนักเรียนประมาณ 3,000 บาทแล้ว ยังมีราษฎรซึ่งมีบ้านเรือนอยู่ในละแวกถนนพิพาทกว่า 20 ครัวเรือน ได้ใช้ถนนพิพาทเป็นทางออกสู่ถนนสาธารณะ โดยบางคนใช้ถนนพิพาทมาตั้งแต่เริ่มสร้างเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ไม่มีผู้ใดห้ามปราม ถือได้ว่าเจ้าของที่ดินพิพาทเดิมได้ยกที่ดินส่วนที่ถนนพิพาทตัดผ่านให้เป็นทางสาธารณะ อันเป็นการสละที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304 โดยไม่จำต้องมีการจดทะเบียนยกให้เป็นทางสาธารณะต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ นายกอบสุข แก่นรัตนะ นายกอบสันต์แก่นรัตนะ และนางสาวพรรณทิพย์ แก่นรัตนะ เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1099 เนื้อที่ 15 ไร่ 2 งาน 52 ตารางวา ร่วมกันเมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2535 จำเลยใช้รถยนต์บรรทุกขนดินและวัสดุก่อสร้างผ่านเข้าออกถนนส่วนบุคคลในที่ดินของโจทก์เป็นเหตุให้ถนนเสียหาย อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ห้ามจำเลยและบริวารใช้รถยนต์หรือเดินผ่านเข้าออกในที่ดินของโจทก์ให้จำเลยทำถนนในที่ดินดังกล่าวที่ได้รับความเสียหายกลับคืนสู่สภาพดีหากจำเลยไม่ปฏิบัติให้โจทก์ทำถนนดังกล่าวเอง โดยให้จำเลยรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า ถนนดังกล่าวเป็นของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนนทบุรี แม้จะมีบางส่วนอยู่ในโฉนดที่ดินของโจทก์ แต่การสร้างถนนดังกล่าวใช้งบประมาณของทางราชการโดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็นทางสาธารณะเพื่อให้ประชาชนใช้ร่วมกันที่ดินของโจทก์อยู่ติดถนนติวานนท์ ส่วนที่ดินจำเลยอยู่ด้านในการเข้าออกสู่ถนนติวานนท์ต้องผ่านถนนดังกล่าวไม่มีเส้นทางอื่นถนนส่วนที่อยู่ในที่ดินของโจทก์จึงเป็นทางจำเป็น จำเลยและประชาชนใช้ถนนดังกล่าวร่วมกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ถนนส่วนที่อยู่ในที่ดินของโจทก์จึงเป็นทางภารจำยอมถนนดังกล่าวไม่ได้อยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1099 และไม่ได้เป็นที่ดินของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิห้ามจำเลยใช้ถนนดังกล่าว จำเลยขนส่งวัสดุก่อสร้างด้วยความระมัดระวังไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ถนนดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามมิให้จำเลยและบริวารใช้ทางพิพาทในที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 1099 คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่านายผาสุกบริจาคที่ดินของตน 25 ไร่ ให้สร้างโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ที่ดินดังกล่าวอยู่ห่างถนนติวานนท์ประมาณ 250 เมตร นางกิมฮวย นายผาสุกและนายประพัฒน์กับนางเกลียวพรรณบิดามารดาโจทก์ยินยอมยกที่ดินของตนให้โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี สร้างถนนพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ถนนติวานนท์ ต่อมานายผาสุกจัดสรรที่ดินของตนซึ่งอยู่บริเวณหน้าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรีแบ่งขาย เมื่อปี 2524 จำเลยกับพวกร่วมกันซื้อที่ดินของนายผาสุก4 แปลง ครั้นเดือนเมษายน 2535 จำเลยปลูกสร้างตึกในที่ดินดังกล่าวและใช้รถยนต์บรรทุกขนอุปกรณ์ก่อสร้างผ่านถนนพิพาท โจทก์ซึ่งรับโอนที่ดินมาจากนายประพัฒน์และนางเกลียวพรรณห้ามจำเลยใช้ถนนพิพาทช่วงที่ผ่านที่ดินของตน จำเลยไม่เชื่อ โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ จำเลยให้การสู้คดี ในวันนัดชี้สองสถานศาลชั้นต้นสอบทนายจำเลยว่า ที่จำเลยให้การว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์และทางภารจำยอม กับทางพิพาทไม่อยู่ในที่ดินของโจทก์ จะต่อสู้ประเด็นใดหรือสละประเด็นใดเพราะต่อสู้ไม่เหมือนกันหรืออาจจะขัดแย้งกัน ทนายจำเลยแถลงว่า ขอต่อสู้ว่าทางพิพาทเป็นทางเข้าออกใช้จนตกเป็นภารจำยอมแล้ว ข้อต่อสู้อื่นขอสละ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่าทางพิพาทไม่ได้เป็นทางภารจำยอม ห้ามจำเลยและบริวารใช้ทางพิพาทแต่ในชั้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ให้ยกฟ้องโจทก์
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกของโจทก์มีว่ามีศาลอุทธรณ์ภาค 2 หยิบยกปัญหาที่ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขึ้นมาวินิจฉัยทั้งที่จำเลยแถลงขอสละข้อต่อสู้นี้แล้วเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่าทางสาธารณะนั้นประชาชนทุกคนมีสิทธิใช้ได้ บุคคลใดก็ไม่มีอำนาจห้ามบุคคลอื่นใช้ทางสาธารณะ ดังนั้นแม้จำเลยจะสละข้อต่อสู้ที่ว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะไปแล้ว คงต่อสู้ว่าถนนพิพาทเป็นทางภารจำยอมเพียงประเด็นเดียวก็ตาม หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะได้ หาเป็นการนอกประเด็นดังที่โจทก์ฎีกาไม่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นมาวินิจฉัยชอบแล้ว
ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาข้อต่อไปของโจทก์มีว่า ถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์ก็เบิกความว่า ระหว่างสองข้างทางของถนนพิพาทมีบ้านคนอื่นปลูกอยู่และใช้ถนนพิพาทเป็นทางผ่าน ริมถนนพิพาทมีตึกแถวอยู่ และมีหอพักกับร้านค้าด้วยและในพื้นที่บริเวณด้านซ้ายมีบ้านคนปลูกอยู่อีกหลายเรื่องปัจจุบันมีคนใช้ถนนพิพาทพลุกพล่าน เป็นการเจือสมกับคำเบิกความของพยานจำเลย พยานหลักฐานของจำเลยฟังได้ว่า นอกจากอาจารย์โรงเรียนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ประมาณ 200 คน และนักเรียนประมาณ 3,000 คนแล้ว ยังมีราษฎรซึ่งมีบ้านเรือนอยู่ในละแวกนั้นกว่า 20 ครัวเรือน ใช้ถนนพิพาทเป็นทางออกสู่ถนนติวานนท์โดยบางคนใช้ถนนพิพาทมาตั้งแต่เริ่มสร้างเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วไม่มีผู้ใดห้ามปราม ถือได้ว่านายประพัฒน์และนางเกลียวพรรณได้ยกที่ดินที่ถนนพิพาทตัดผ่านให้เป็นทางสาธารณะอันเป็นการสละที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 ไม่จำต้องมีการจดทะเบียนยกให้เป็นทางสาธารณะต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
พิพากษายืน

Share