แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บุตรไม่อาจอ้างว่าบิดานำสินสมรสของบิดามารดามาทำพินัยกรรม ในเมื่อมารดาผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงมิได้โต้แย้งคัดค้าน
โจทก์ฟ้องคดีแรกขอให้เพิกถอนหรือทำลายพินัยกรรม แล้วมาฟ้องคดีหลังขอให้สั่งว่าพินัยกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมายอีก แม้ฟ้องคดีหลังจะมีประเด็นขอให้กำจัดมิให้รับมรดกและเรียกค่าเสียหายด้วยก็ตาม เฉพาะประเด็นให้เพิกถอนพินัยกรรมนั้นต้องถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ
หากพยานฝ่ายที่นำสืบภายหลังเบิกความแตกต่างกับที่เคยเบิกความไว้ในคดีอาญาและฝ่ายที่นำสืบก่อนเพิ่งทราบเช่นนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุตธรรม ศาลอนุญาตให้ฝ่ายนำสืบก่อนอ้างสำนวนคดีอาญาเป็นพยานได้
ย่อยาว
คดีสองจำนวนนี้ ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน สำนวนแรกโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหรือทำลายพินัยกรรมของนายโฮกฉบับลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๐๓
จำเลยให้การว่า พินัยกรรมสมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมาย
สำนวนหลัง โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมาย สั่งกำจัดมิให้จำเลยที่ ๑ รับมรดก ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ๕,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า นายโฮกทำพินัยกรรมด้วยความสมัครใจ โจทก์ไม่ได้เสียหาย เพราะจำเลยที่ ๑ มีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรมและต่อสู้ว่า ฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมเป็นฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า นายโฮกได้ทำพินัยกรรมในขณะมีสติเป็นปกติดี พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักจะหักล้างพยานจำเลย
ในประเด็นที่ว่า ทรัพย์ที่ระบุในพินัยกรรมเป็นสินบริคณห์ โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องแต่มิได้นำสืบ อย่างไรก็ดี ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เป็นแต่เพียงบุตรของเจ้ามรดก จะยกขึ้นอ้างหาได้ไม่ ในเมื่อนางกิมภรรยาเจ้ามรดกผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงมิได้โต้แย้งคัดค้าน กลับเบิกความเห็นชอบกับการกระทำของนายโฮกเสียอีก ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนข้อฟ้องซ้ำ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ไว้ตามคดีดำที่ ๑๖๔/๒๕๐๔ ขอให้ศาลเพิกถอนหรือทำลายพินัยกรรมของนายโฮก คดีอยู่ในระหว่างพิจารณา แล้วโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ ๑ กับพวกตามคดีดำที่ ๑๗๑/๒๕๐๕ ขอให้ศาลสั่งว่าพินัยกรรมของนายโฮกไม่ชอบด้วยกฎหมายอีก แม้ถึงว่าฟ้องโจทก์ในคดีหลังจะมีประเด็นขอให้กำจัดมิให้จำเลยได้มรดก และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายด้วยก็ตาม ฟ้องของโจทก์คดีหลังเฉพาะประเด็นให้เพิกถอนพินัยกรรมก็เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรก ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓
ฎีกาข้อสุดท้าย ศาลฎีกาเห็นว่า เหตุที่จำเลยอ้างสำนวนคดีอาญาของศาลชั้นต้นหมายเลขแดงที่ ๗๑๗/๒๕๐๔ ภายหลังที่จำเลยสืบพยานเสร็จแล้ว ก็เนื้องจากพยานโจทก์ที่โจทก์นำสืบภายหลังเบิกความแตกต่างกับที่ได้เคยเบิกความไว้ในคดีอาญา จำเลยเพิ่งทราบจึงจำเป็นต้องอ้างสำนวนคดีอาญาดังกล่าวเป็นพยานเพื่อยันคำพยานที่เบิกความในคดีนี้ นับว่าจำเลยมีเหตุอันสมควร ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยอ้างสำนวนคดีอาญาดังกล่าวได้เพื่อประโยชน์ความยุติธรรมจึงชอบด้วยรูปคดีแล้ว
พิพากษายืน